ประวัติ โจ ฮาร์ท

| 01/01/1970 07:00 น. | 777 Views

  

ซ้อมพร้อมลุย!!! ฮาร์ท กระสันลงเล่น ซีเรีย อา


       โจ ฮาร์ท ผู้รักษาประตูป้ายแดงของ โตริโน่ ลงสนามซ้อมกับเพื่อนร่วมทีมเป็นครั้งแรก หลังจากย้ายมาร่วมทัพแบบยืมตัวจนจบฤดูกาลนี้

      นายด่านมือหนึ่งของ "สิงโตคำราม" ลงซ้อมเมื่อเย็นวันพุธที่ผ่านมา และมีสิทธิ์ที่จะลงสนามให้กับนายใหญ่คนใหม่อย่าง ซินิซ่า มิไฮโลวิช ในเกมวันอาทิตย์นี้ที่จะพบกับ อตาลันต้า

      ฮาร์ท เป็นหนึ่งในผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในโลก เพิ่งจะเก็บคลีนชีตกับทีมชาติอังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หลังจากที่บุกไปเอาชนะ สโลวาเกีย 1-0 ในศึกฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก 

      สถานการณ์ในตอนนี้ โตริโน่ อยู่ในอันดับ 7 ของตาราง กัลโช่ ซีเรีย อา หลังจากลงสนามไปแล้ว 2 นัด โดยนัดเปิดฤดูกาลบุกแพ้ มิลาน 2-3 แต่นัดต่อมา เปิดบ้านถล่ม โบโลญญ่า 5-1

 

 

ชื่อ : โจ ฮาร์ท
 
เชื้อชาติ : อังกฤษ
 
วันเกิด : 9 เมษายน 1987
 
อายุ : 26 ปี
 
สถานที่เกิด : ชรูว์สบิวรี่ ,ชโรปเชียร์ ประเทศอังกฤษ
 
ส่วนสูง : 196 ซม.
 
ต้นสังกัด : แมนเชสเตอร์ ซิตี้

ตำแหน่ง : ผู้รักษาประตู

    โจ ฮาร์ท หรือชื่อเต็มว่า ชาร์ล โจเซฟ จอห์น ฮาร์ท เกิดเมื่อวันที่ 19 เมษายน 1987 ที่ ชรูว์สบิวรี่ ชโรปเชียร์ ประเทศอังกฤษ เป็นลูกชายของ ชาร์ลส์ และหลุยส์ ฮาร์ท โดยเขาได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนประถม อ็อกซอน ต่อมาเขาได้เข้าเรียนที่ วิทยาลัยวิทยาศาสตร์การกีฬา ใน ชรูว์สบิวรี่

    ตอนนั้นเขายังเป็นนักกีฬา คริกเก็ต ของทีม ชรูว์สบิวรี่ ซีซี และต่อมาอีก 2 ปีเขาได้ร่วมทีม วอลเชสเตอร์เชียร์ ซึ่งได้เล่นร่วมกับ สตีเว่น เดวิส นักคริกเก็ตทีมชาติอังกฤษในปัจจุบัน


    ขณะอายุได้ 15 ปี ฮาร์ทได้เข้าร่วมสโมสร ชรูว์สบิวรี่ ทาวน์ ซึ่งเป็นทีมบ้านเกิดของเขา ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2003 ในตอนนั้นเขายังเป็นผู้เล่นนอกสัญญาอยู่

    โจ ฮาร์ท ได้ลงเล่นให้ชุดใหญ่ของ  ชรูว์สบิวรี่ นัดแรกเมื่อ 20 เมษายน 2004 หลังเขามีอายุครบ 17 ปี เพียงแค่วันเดียว และเขาได้ลงเล่นครบ 90 นาที ในเกมที่เจอกับ เกรฟเซน แอนด์ นอร์ทฟรีท และอีก 4 วันถัดมาเขาก็ลงเฝ้าเสาในเกมที่พบกับ มอร์คอมบ์ ซึ่งเขาโดนยิงไป 3 ประตู

     หลังจากเกมนั้น ฮาร์ท ก็ไม่ได้ลงเล่นอีกเลยจนกระทั่งเดือนเมษายนของปีถัดไป เพราะตอนนั้น สก็อตต์ โฮวี่ย์ เป็นผู้รักษาประตูมือ 1 ของทีมอยู่ และฤดูกาลนั้น โจ ฮาร์ท ลงไป 6 เกม เสีย 4 ประตู

    ฤดูกาล 2005/06  โจ ฮาร์ท สามารถยึดตำแหน่งประตูมือ 1 ของทีมไปได้ละได้สวมเสื้อหมายเลข 1 ของทีมอีกด้วย โดยปีนั้นเขาลงเล่นไปทั้งหมด 46 นัด และเสียไป 55 ประตู ถึงแม้เขาจะเสียประตูเยอะแต่ถึงอย่างไรเขาก็ได้รับเลือกให้ไปติดทีมชาติอังกฤษชุดอายุต่ำกว่า 19 ปี เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2005 ในเกมที่เจอกับโปแลนด์

    หลังจากนั้น ฮาร์ท ก็เป็นที่สนใจของบรรดาทีมจากพรีเมียร์ลีก วันที่ 30 พฤศจิกายน 2005 คริส วู้ดส์ โค้ชผู้รักษาประตูของเอฟเวอร์ตันได้เข้าไปชมเกมที่ ฮาร์ท ลงเฝ้าเสา นอกจากเอฟเวอร์ตันแล้วยังมีทีมอย่าง อาร์เซนอล, เชลซีและ แมน ซิตี้ อีกทั้งหลายๆทีมในพรีเมียร์ลีก ที่สนใจจะคว้าเขาไปร่วมทีม

    วันที่ 7 กุมภาพันธ์ ปี 2006 ฮาร์ท ได้รับรางวัลนักเตะที่เล่นดีที่สุดของเดือนมกราคม ซึ่งเป็นการร่วมโหวตของแฟนบอล และเมื่อจบฤดูกาล โจ ฮาร์ท ยังได้รางวัลผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมแห่งปีของ ลีก ทู ในฤดูกาล 2005/06 อีกด้วย


    หลังจากจบฤดูกาล โจ ฮาร์ท เตรียมตัวที่จะไปแข่งฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรปอายุต่ำกว่า 19 ปี เขาก็ได้ตกลงเซ็นสัญญากับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต่อมาเขาก็ลงเล่นให้อังกฤษ แต่ต้องตกรอบคัดเลือกไปด้วยน้ำมือของ เซอร์เบีย แอนด์ มอนเตเนโกร

    เดือน พฤษภาคม ปี 2006 มีรายงานว่าค่าตัวของ โจ ฮาร์ท ที่ย้ายไปแมน ซิตี้ คือ 6 แสนปอนด์ และจะเพิ่มเป็น 1 ล้าน 5 แสนปอนด์ หากประสบความสำเร็จกับทีม หลังจากนั้นเขาลงเล่นในพรีเมียร์ลีกเกมแรกเมื่อ 14 ตุลาคม 2006 ด้วยเหตุที่ประตูมือ 1 และ 2 ของทีมเจ็บหมดเลย เกมนั้นเจอกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด สุดท้ายเขาสามารถรักษาคลีนชีทได้สำเร็จ


    มกราคม 2007 ฮาร์ท ถูกสโมสร ทรานเมียร์ โรเวอร์ส ยืมตัวไปเล่นใน ลีก วัน โดยเขาลงเล่นไปทั้งหมด 6 เกม และเขาก็ยังติดทีมชาติอังกฤษชุดอายุต่ำกว่า 21 ปี อีกด้วย และเขาก็ถูก แบล็คพูล ยืมไปใช้งานอีกในปีเดียวกัน โดยลงเล่นไปทั้งหมด 5 เกม

    หลังจากกลับมาจากการยืมตัว สเวน โกรัน อีริคส์สัน กุนซือ แมน ซิตี้ ตอนนั้นก็ให้ โจ ฮาร์ท เป็นมือ 1 แทนที่ของ อันเดรส อิแซกสัน และก็ยกย่องว่า ฮาร์ท เป็นผู้รักษาประตูที่มีศักยภาพคนหนึ่งของอังกฤษ แล้วในอนาคตข้างหน้าเขาจะเป็นประตูมือ 1 ของทีมชาติอังกฤษอีกด้วย

 



     วันที่ 1 มิถุนายน 2008 โจ ฮาร์ท ได้ลงเล่นให้ทีมชาติอังกฤษเป็นครั้งแรกในเกมที่เจอกับ ตรินิแดดและโตเบโก และ ในเดือนตุลาคม เขาได้รับรางวัลแห่งเกียรติยศ ที่โรงเรียนชโรปเชียร์ และ วิทยาลัยฟุตบอล พร้อมกับอดีตเพื่อนร่วมทีมเดวิด เอ็ดเวิร์ด ที่เล่นให้กับ วูล์ฟแฮมป์ตัน และเขายังได้รับสัญญาใหม่อีก 5 ปี

 



    หลังจากที่ มาร์ค ฮิวจ์ ผู้จัดการทีมขณะนั้นซื้อตัว สจวร์ต เทย์เลอร์ มาจาก แอสตันวิลล่า เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2009 ทำให้ โจ ฮาร์ท โดน เบอร์มิงแฮม ยืมตัวไปและเกมแรกที่เขาลงเล่นก็ต้องโดน แมน ยู ยิงไป 1-0 แต่เขาก็ยังทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง

    ช่วงท้ายฤดูกาล ฮาร์ท ได้รับการโหวตให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมของ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ และยังมีชื่อเข้าชิงดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งไปของพรีเมียร์ลีก ร่วมกับ เวย์น รูนีย์ ,เชส ฟาเบรกาส และ เจมส์ มิลเนอร์ แม้ว่า มิลเนอร์ ได้รับรางวัล แต่ ฮาร์ท ก็ยังได้ติดทีมยอดเยี่ยมแห่งไป

 



    หลังจากที่ประสบความสำเร็จกับ เบอร์มิงแฮม ทำให้เขาติดทีมไปเล่นฟุตบอลโลก 2010 กับอังกฤษ ที่แอฟริกาใต้ และหลังจากกลับมาจากฟุตบอลโลก โรแบร์โต มันชีนี ผู้จัดการทีมตอนนั้น ก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาจะอยู่ในแผนการทำทีมหรือไม่

    แต่ มัสซิโม่ แบตตาร่า โค้ชประตูของแมน ซิตี้ ก็ออกมาบอกให้เก็บเขาเอาไว้ใช้งานเนื่องจากเขาเป็นประตูที่มีความสามารถทางกายภาพและทางเทคนิคที่สูงมาก หลังจากที่ดูเขาลงเล่นกับ เบอร์มิงแฮม เมื่อฤดูกาลก่อน

 



    ฤดูกาล 2010/11 โจ ฮาร์ท ได้ถูกเลือกใช้งานก่อน เชย์ กิฟเวน ในเกมกับ สเปอร์ส เขาได้รับ แมน ออฟ เดอะ แมตช์ อีกทั้งเกมที่เอาชนะ ลิเวอร์พูลเขายังรักษาคลีนชีทได้อีกด้วย จนทำให้เขาได้รับความไว้วางใจเป็นมือ 1 ต่อไป และเขาเสียลูกแรกของฤดูกาลในเกมที่แพ้ ซันเดอร์แลนด์ 0-1

    ฮาร์ท ยังช่วยทีมให้เอาชนะคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเอฟเอคัพรอบรองชนะเลิศ โดยการปฏิเสธลูกยิงของ ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ และสุดท้ายเกมจบลงด้วยชัยชนะของ แมน ซิตี้ ด้วยสกอร์ 1-0

    อีกทั้ง โจ ฮาร์ท ยังได้รับรางวัลการทำคลีนชีทได้มากที่สุดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2010/11 อีกด้วย และยังทำลายสถิติของสโมสรด้วยการรักษาคลีนชีทได้มากที่สุดใน 1 ฤดูกาล ในวันที่ 8 สิงหาคม 2011 เขาเซ็นสัญญาฉบับใหม่ไปจนถึงปี 2016 อีก

    ในฤดูกาล 2011/12 เขาก็ได้รับรางวัลการทำคลีนชีทได้มากที่สุดในพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง และช่วยให้ แมน ซิตี้ ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกในรอบ 44 ปี ด้วยชัยชนะเกมสุดท้ายเหนือ คิวพีอาร์ 3-2

 



    ถึงแม้ปี 2012/13 เขาก็ยังคงได้รางวัลการทำคลีนชีทได้มากที่สุด แต่มาฤดูกาล 2013/14 ฟอร์มของเขากลับดร็อปลงอย่างน่าใจหาย จากเกมที่เจอกับ เชลซี เขาออกมาตัดบอลพลาดในนาทีสุดท้ายเลยโดน เฟร์นันโด ตอร์เรส ฉกบอลไปยิงและแพ้ไป 1-2 จนทำให้โดนดร็อปในเกมที่เจอกับ นอริช โดยส่ง คอสเทล ปันติลิมอน นายทวารมือ 2 ลงเฝ้าเสาแทน

 

    ต่อมาในฤดูกาล 2014-15 ฟอร์มของ ฮาร์ท ค่อยๆ ดีขึ้นอีกครั้งทั้งศึกในประเทศและนอกประเทศ และเกิดเหตุการณ์ที่น่าจดจำในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย คือ เขาสามารถเซฟลูกจุดโทษของ ลีโอเนล เมสซี่ และเซฟอีกนับครั้งไม่ถ้วนในเกมที่พบกับ บาร์เซโลน่า และตอนจบฤดูกาล ฮาร์ท ก็ได้รับรางวัล "พรีเมียร์ ลีก โกลเด้น โกลฟ" อีกครั้ง ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 4 ของเขา

 

   ในฤดูกาล 2015-16 ฮาร์ท ก็ยังคงเป็นผู้รักษาประตูมือหนึ่งของ "เรือใบสีฟ้า" มาโดยตลอด ซึ่งดูเหมือนว่า ตำแหน่งของเขาจะมั่นคงและมีอนาคตที่สดใส ทั้งกับสโมสรต้นสังกัดและในนามทีมชาติอังกฤษ แต่กลับมามีจุดเปลี่ยนเกิดขึ้น เมื่อ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก้าวมาเป็นกุนซือคนใหม่ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

 

 

   ในฤดูกาล 2016-17 ที่เพิ่งออกสตาร์ทกันไป เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ได้สร้างเรื่องเซอร์ไพรซ์ด้วยการดร็อป ฮาร์ท ในนัดเปิดฤดูกาลที่พบกับ ซันเดอร์แลนด์ ด้วยเหตุผลที่ว่า ฟอร์มของ ฮาร์ท ในศึกยูโร 2016 ที่ลงเล่นให้ทีมชาติอังกฤษนั้นไม่ดีเอาซะเลย และอีกเหตุผลก็คือ กวาร์ดิโอล่า มักจะชอบผู้รักษาประตูที่สามารถเล่นบอลด้วยเท้าเก่งๆ มากกว่า

 

   ยิ่งไปกว่านั้น กวาร์ดิโอล่า ยังออกมาประกาศว่า ฮาร์ท ไม่ได้อยู่ในแผนทำทีม และให้เตรียมตัวย้ายได้เลย ทำให้ ฮาร์ท ต้องจำใจเดินออกมาจากถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม และก็เป็น โตริโน่ ในศึกกัลโช่ ซีเรีย อา อิตาลี ที่คว้าตัวเขาไปร่วมทัพได้สำเร็จ ด้วยสัญญายืมตัว 1 ฤดูกาล ทำให้ ฮาร์ท กลายเป็นผู้รักษาประตูชาวอังกฤษรายแรกที่ย้ายมาเล่นใน อิตาลี นับเริ่มก่อตั้งลีกขึ้นมาตั้งแต่ปี 1929

 

   ส่วนในนามทีมชาติอังกฤษนั้น ฮาร์ท ได้รับใช้ชาติครั้งแรกในเดือนกันยายน 2005 ซึ่งเขาลงเล่นให้กับ "สิงโตคำรามน้อย" รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี ในนัดที่พบกับ เบลเยี่ยม ในฐานะตัวสำรอง หลังจากนั้น ฮาร์ท ก็เลื่อนขึ้นไปเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษ รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี และนัดแรกที่เขาได้ลงสนามก็คือ นัดที่พบกับ สเปน

   และสำหรับทีมชาติชุดใหญ่ ฮาร์ท ได้รับโอกาสติดธงครั้งแรกในยุคของ ฟาบิโอ คาเปลโล่ ซึ่งเขาได้ลงสนามครั้งแรกในเกมอุ่นเครื่องที่พบกับ ตรินิแดดฯ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2008 หลังจากนั้น ฮาร์ท ก็กลายเป็นขาประจำสำหรับทีมชาติอังกฤษมาโดยตลอด เขาได้ลงแข่งในรายการสำคัญๆ มากมาย ทั้งฟุตบอลโลกและฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ปัจจุบัน ฮาร์ท รับใช้ทีมชาติอังกฤษไปแล้วทั้งสิ้น 64 นัดด้วยกัน


Updated By [Gobaggio]
       

ADS