ประวัติ ริโอ เฟอร์ดินานด์

| 01/01/1970 07:00 น. | 1964 Views

Rio Ferdinand

     ริโอ เฟอร์ดินานด์ กองหลังจอมเก๋าชาวอังกฤษแห่ง ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส ออกมาเรียกร้องให้วงการฟุตบอลเลิกเหยียดผิวคนดำ หลังจากมีเรื่องราวที่แฟนบอล เชลซี ร้องเพลงล้อเลียนคนดำที่ปารีส ที่กำลังจะขึ้นรถไฟฟ้าหลังจบเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

     "ฟุตบอลเปลี่ยนแปลงอะไรได้? มันมีพลังอีกเหรอ? ฟุตบอลมีประวัติที่ยาวนานตั้งแต่ยุค 70 และ 80 แต่ก็ยังต้องพบเห็นการเหยียดสีผิว แล้วคนในสังคมทำอะไรกันบ้างละ"

     เช่นเดียวกับ คริส แรมซี่ย์ ผู้จัดการทีมผิวสีคนเดียวของ พรีเมียร์ ลีก ก็เห็นว่าการเหยียดผิวเป็นเรื่องใหญ่ของเกมฟุตบอล

     "ไม่มีที่ให้ยืนสำหรับการเหยียดผิวในวงการฟุตบอล ผมคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่แฟน เชลซี แน่ รวมถึงไม่น่าเป็นพวกแฟนฟุตบอลด้วยซ้ำ"

     "ผมมีประสบการณ์เยอะในเรื่องนี้ เทียบกับปี 1978 เดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปเยอะแล้ว แต่มันก็ยังมีอยู่"

 

ชื่อ : ริโอ เฟอร์ดินานด์

เชื้อชาติ : อังกฤษ
 
วันเกิด : 7 พฤศจิกายน 1978
 
อายุ : 34 ปี
 
สถานที่เกิด : แคมเบอร์เวล, ลอนดอน
 
ส่วนสูง : 189 ซม.
 
ต้นสังกัด : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ตำแหน่ง : กองหลัง

         ถ้าหากจะพูดถึงหัวใจในการป้องกันประตูคงต้องมองไปถึงตำแหน่งกองหลังและถ้าจะเอ๋ยถึงปราการหลังที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในวงการลูกหนังหนึ่งในนั้นจะต้องมีชื่อของ "ริโอ เฟอร์ดินานด์"

         ริโอ กาวิน เฟอร์ดินานด์ เกิดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 1978 ที่โรงพยาบาลคิงส์คอลเลจ ในเดนมาร์กฮิลล์, แคมเบอร์เวล, ลอนดอน เขาเป็นบุตรชายของเจนิซ ลาเวนเดอร์ และ จูเลียน เฟอร์ดินานด์ เขาเติบโตในเพคแฮมและครอบครัวเขาเป็นครอบครัวขนาดใหญ่

          โดยพ่อแม่ของเขาไม่เคยเข้าพิธีแต่งงานกันมาก่อน อีกทั้งยังเลิกกันตั้งแต่ ริโอ อายุ 14 ปี เขามีน้องชายและน้องสาวหลายคน รวมถึงน้องชายและน้องสาวอย่างละคนจากการแต่งงานใหม่ของแม่ด้วย

 

           ริโอเริ่มศึกษาที่โรงเรียนประถมศึกษาคาเมลอท เขาชอบวิชาคณิตศาสตร์และมีผลการเรียนที่ดี แต่เขาต้องเรียนรู้ที่จะอยู่รอดในกรุงลอนดอนเพราะข้าวของที่นั้นมีราคาสูงและมีการแบ่งชนชั้น รวมไปถึงเรื่องของอาชญากรรมที่รุนแรง

           ตอนอายุ 11 ปี เฟอร์ดินานด์มีความสามารถด้านฟุตบอลที่เหนือกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน และทีมแรกที่ค้นพบดาวดวงนี้คือเวสต์แฮม ยูไนเต็ด เขาเข้าร่วมทีมเยาวชนของขุนค้อนในปี 1992 และได้เซ็นสัญญาในปี 1994 ในชุดนั้นเขาเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับแฟร้งค์ แลมพาร์ดที่อะคาเดมี่ พออายุได้ 16 ปีเขาก็ติดทีมชาติเป็นครั้งแรกอีกด้วย



         

 

          ริโอ เฟอร์ดินานด์ ลงเล่นฟุตบอลอาชีพเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 1996 เขาถูกเปลี่ยนตัวลงไปแทน โทนี่ คอนเต้ ในเกมที่เปิดบ้านเสมอกับเชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ 1-1 และหลังจากนั้นเขาก็ถูกบอร์นมัธยืมตัวไป 1 ฤดูกาล

          ในฤดูกาลถัดมาเขาได้รับการโหวตให้เป็นดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำทีมเวสต์แฮม ในตอนนั้นเขามีอายุ 19 ปี



 

 

          หลังจากนั้น เฟอร์ดินานด์ ก็ย้ายมาร่วมทีม ลีดส์ ยูไนเต็ด ในพรีเมียร์ลีก เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2000 ด้วยค่าตัวมหาศาลถึง 18 ล้านปอนด์ (ราว 1,260 ล้านบาท) และทำให้เขากลายเป็นกองหลังที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลก

          ถึงแม้ เฟอร์ดินานด์ จะลงประเดิมสนามในสีเสื้อใหม่ด้วยการพ่ายต่อเลสเตอร์ ซิตี้ 1-3 แต่เขาก็เป็นส่วนหนึ่งในชุดประวัติศาสตร์ที่พายูงทองเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาล 2000/01

          ในเดือนสิงหาคม 2001เขาได้รับมอบหมายให้เป็นกัปตันทีมของลีดส์ ยูไนเต็ด และในช่วงฟุตบอลโลก 2002 ข่าวลือเริ่มรั่วไหลว่าสโมสรมีปัญหาทางการเงินจึงจำเป็นต้องมีการปล่อยนักเตะบางส่วนออกไปเพื่อจะได้ประคับประคองการเงินของสโมสร



 

          วันที่ 22 กรกฏาคม 2002 เฟอร์ดินานด์ ได้ตกลงข้อเสนอย้ายร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์และเป็นการทำลายสถิติกองหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลกเป็นครั้งที่ 2 ของเขาอีกด้วย ย้ายมาปีแรกริโอก็สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ทันที

          ต่อมาในเดือนกันยายน 2003 เฟอร์ดินานด์ หลีกเลี่ยงที่จะมาตรวจสอบสารกระตุ้นและได้อ้าวกับเอฟเอว่าเขาลืม จึงทำให้เขาโดนแบนเป็นเวลาถึง 8 เดือน และปรับอีก 5 หมื่นปอนด์

         ประตูแรกที่ริโอทำในสีเสื้อแมนฯ ยูไนเต็ดต้องรอถึง 3 ปีหลังจากย้ายมาลูกนั้นเกิดขึ้นในวันที่ 14 ธันวาคม 2005 ในเกมที่เอาชนะวีแกน 4-0 และในฤดูกาล 2006/07 เฟอร์ดินานด์ มีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีกพร้อมกับเพื่อนร่วมทีมปีศาจแดงอีก 7 คน

          ฤดูกาล 2007/08 เฟอร์ดินานด์ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้แมนฯ ยูไนเต็ดไม่เสียประตูติดต่อกันถึง 7 เกม ก่อนจะมาเสียให้กับแอสตัน วิลล่า ที่วิลล่าพาร์ค เมื่อ 20 ตุลาคม 2007 และริโอก็สามารถทำประตูแรกในเกมยุโรปได้ในเกมที่เอาชนะดินาโม เคียฟ 4-2

          ต่อมาในเกมเอฟเอ คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศ กับ พอร์ทสมัธ เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2008 เซนเตอร์ฮาล์ฟตัวเก่ง ก็ต้องสวมบทนายทวารจำเป็น เมื่อ เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์ ได้รับบาดเจ็บจนต้องถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม และ โทมัส คุซแซค โกล์มือ 2 ก็โดนใบแดงไล่ออกจากสนามไป

          แต่สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถจะป้องกันลูกจุดโทษของ ซุลเลย์ มุนตารี่ ได้แม้จะพุ่งไปถูกทางก็ตาม ซึ่งผลจบลงด้วยความปราชัยของ "ปีศาจแดง" ด้วยสกอร์ 1-0

 



          วันที่16 เมษายน 2008 ริโอ เฟอร์ดินานด์ ได้เซ็นสัญญาฉบับใหม่กับทีมเป็นเวลา 5 ปีและจะได้ค่าเหนื่อยสัปดาห์ละ 120,000 ปอนด์ โดยสัญญาจะไปสิ้นสุดลงในปี 2013

         ฤดูกาล 2009/10 เฟอร์ดินานด์ได้รับอาการบาดเจ็บรบกวนจึงทำให้เขาหายไปนาน วันที่ 28 มกราคม 2010 เขากลับามาลงสนามอีกครั้งในเกมกับฮัลล์ ซิตี้ แต่เขากลับโดนใบแดงไล่ออกจากสนามเมื่อไปศอกใส่เคร็ก เฟแกน ทำให้โดนแบนไป 4 เกม



         

 

          ฤดูกาล 2011/12 ในศึกเอฟเอคอมมูนิตีชีลด์เฟอร์ดินานด์ได้รับบาดเจ็บที่เดิมจึงโดนเปลี่ยนตัวออกในช่วงพักครึ่งและถูกแทนที่ด้วยจอนนี่ อีแวนส์ และสุดท้ายผีแดงก็สามารถเอาชนะคู่ปรับร่วมเมืองอย่างแมนฯ ซิตี้ไปได้ 3-2 ทำให้ริโอได้แชมป์เอฟเอคอมมูนิตีชีลด์เป็นสมัยที่ 4

         เริ่มต้นการแข่งขันพรีเมียร์ลีกของฤดูกาลในเกมที่ชนะเวสต์บรอมวิช 2-1 ริโอเดินออกจากสนามไปพร้อมกับอาการบาดเจ็บที่เอ็นร้อยหวายในนาทีที่ 75 และต้องพักถึง 6 สัปดาห์

 



         ฤดูกาล 2012/13 เกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกรอบ 16 ทีมสุดท้ายผีแดงโคจรมาพบกับเรอัลนัดที่ 2 ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด เฟอร์ดินานด์ได้ทำการปรบมือประชดใส่ผู้ตัดสินในจังหวะที่แจกใบแดงให้นานี่และสุดท้ายแมนฯ ยูไนเต็ดก็พ่ายชุดขาวไปด้วยสกอร์รวม 2-3 ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้โดนยูฟ่าลงโทษอะไรจากกรณีนี้

         วันที่ 23 พฤษภาคม 2013 เฟอร์ดินานด์ได้ทำสัญญาใหม่ 1 ปีทำให้เขาอยู่กับสโมสรจนถึงอย่างน้อยในตอนท้ายของฤดูกาล 2013/2014

         ฤดูกาล 2013/14 ภายใต้การคุมทีมของเดวิด มอยส์ผู้จัดการทีมคนใหม่ ยังคงไว้เนื้อเชื่อใจในประสบการณ์ของริโอว่าจะสามารถช่วยทีมได้ เลยให้เขายืนเป็น 11 ตัวแรกของทีมต่อไปแต่ถึงอย่างไรฟอร์มการเล่นของเขาในปีนี้กลับดร็อปลงไปอย่างน่าใจหายจึงทำให้มอยส์ต้องคิดหนัก

 


       

 

          นอกจากผลงานกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดแล้ว เฟอร์ดินานด์ยังเป็นนักเตะตัวหลักของทีมชาติอังกฤษมาตลอด ตั้งแต่เลื่อนจากทีมยู-18 ปี ขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ในปี 1997 โดยเขาลงสนามนัดแรกด้วยการเป็นตัวสำรองในเกมกระชับมิตรกับ แคเมอรูน เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 1997

         ทำให้เขากลายเป็นกองหลังทีมชาติอังกฤษที่อายุน้อยที่สุดในวัย 19 ปี 8 วัน ก่อนที่สถิติดังกล่าวจะถูกทำลายโดย ไมกาห์ ริชาร์ดส์ ในเวลาต่อมา

         ปัจจุบันเขาลงเล่นทีมชาติชุดใหญ่ไปทั้งหมด 81 นัดทำได้ 3 ประตู




Updated by [Jarupat]

 

ADS