ประวัติ มาริโอ บาโลเตลลี่

| 01/01/1970 07:00 น. | 410 Views

     โคลิน ปาสโค ผู้ช่วยผู้จัดการสโมสร ลิเวอร์พูล ออกมากล่าวชื่นชม มาริโอ บาโลเตลลี่ หัวหอกจอมเกรียนประจำทีมว่าพยายามอย่างหนักในช่วงฝึกซ้อม จนสามารถยิงประตูชัยในเกมเอาชนะ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ 3-2 ได้

     ทัพ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล สามารถยัดเยียดความปราชัยให้ "ไก่เดือยทอง" ได้สำเร็จในช่วงท้ายเกมนาทีที่ 83 จากการทำประตูชัยของ มาริโอ บาโลเตลลี่ ที่ได้รับโอกาสลงสนามเป็นตัวสำรองในเกมนี้

     มือขวาของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ออกมาให้สัมภาษณ์แทนกุนซือของทีมว่า "มาริโอ บาโลเตลลี่ ฝึกซ้อมอย่างหนักในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้ ที่ผ่านมาเขามีอาการป่วย มันจึงเป็นเรื่องเยี่ยมที่เขาทำประตูชัยได้"

     "เขามีความสุขอย่างมากที่พาทีมคว้าชัยในรังแอนฟิลด์ ผมมั่นใจว่าเขาจะรู้สึกอย่างนั้น ตอนนี้เขาจะรับรู้ได้ว่าเขามีส่วนร่วมในการเล่นขอมทีมแน่นอน เราจำเป็นต้องชนะในเกมนี้เพื่อขยับเข้าใกล้พื้นที่ท็อปโฟร์ เราคิดไว้เสมอว่าเกมกับ เซาธ์แฮมป์ตัน เราจะคว้าสามแต้มเพื่อลดช่องว่าง"

ชื่อเต็ม : มาริโอ บาวูห์ บาโลเตลลี่
วันเกิด : 12 สิงหาคม 1990 (อายุ 24 ปี)
เกิดที่ : ปาแลร์โม่ , ประเทศอิตาลี
สัญชาติ : อิตาลี
ส่วนสูง : 189 เซนติเมตร
ตำแหน่ง : ศูนย์หน้า
สโมสรปัจจุบัน : เอซี มิลาน
 
 
ประวัติส่วนตัว
 
ชีวิตในวัยเด็ก
 
     มาริโอ บาโลเตลลี่ เกิดที่เมือง ปาแลร์โม่, เกาะ ซิซิลี โดยย้ายถิ่นฐานมาจาก กานา พร้อมกับครอบครัว ตั้งแต่อายุได้ 2 ขวบ
     ปี 1993 ในวัย 3 ขวบเขาต้องกลายมาเป็นบุตรบุญธรรมของครอบครัวชาวอิตาลี โดยอาศัยอยู่ในเมือง คอนเซซิโอ, เบรสชา ทางตอนเหนือของอิตาลี พร้อมต่อท้ายนามสกุลตัวเองเป็นบาโลเตลลี่
 
ประวัติการค้าแข้ง
ลูเมซซาเน่
     บาโลเตลลี่เริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลกับ ลูเมซซาเน่ จนอายุ 15 ปี ก็ได้เลื่อนขั้นติดทีมชุดใหญ่ โดยประเดิมนัดแรกพบกับ ปาโดว่า ในศึกเซเรีย ซี เมือ่วันที่ 2 เมษายน 2006
 
 
อินเตอร์ มิลาน
     หลังจากไม่ประความสำเร็จในการทดสอบฝีเท้ากับ บาร์เซโลน่า ตอนอายุ 15 ปี จึงเลือกย้ายไป อินเตอร์ มิลาน ในปี 2006 โดยยืมตัวแบบเป็นเจ้าของร่วมกันในราคาเบื้องต้น 150,000 ยูโร 
     วันที่ 8 พฤศจิกายน 2007 เขาเป็นส่วนหนึ่งของเกมที่พบ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด โดยเป็นแมตช์ฉลองครบรอบ 150 ปีของเชฟฟิลด์ โดยเกมนั้นเขายิงไป 2 ลูก จากชัยชนะ 5-2
     บาโลเตลลี่ได้ลงเล่นนัดแรกในเซเรีย อา เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2007 แทนที่ ดาวิด ซัวโซ่ ในเกมที่ชนะ กายารี่ 2-0
     ในเดือน พฤศจิกายน 2008 บาโลเตลลี่ กลายเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุด ของอินเตอร์ มิลาน ที่ยิงประตูได้ ในรายการยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีก โดยซัดไป 1 เม็ด ในนัดเสมอ อนอร์โธซิส ฟามากัสต้า 3-3 ต่อมาเขาต้องถูกแฟนบอลยูเวนตุส ร้องเพลงตะโดนเหยียดสีผิว จนทำให้ยูเวนตุส ถูกแบนเกมในบ้านห้ามแฟนบอลเข้าสนามไป 1 เกม ทำให้จบฤดูกาลแรกของเขา พาอินเตอร์ คว้าแชมป์ลีก 4 สมัยซ้อน
     ในซีซั่นที่ 2 เขาเริ่มมีปัญหาด้านพฤติกรรม โดยเฉพาะกับ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่ตัดเขาออกจากทีมชุดใหญ่ ด้วยสาเหตุที่บาโลเตลลี่ซ้อมไม่มากพอเท่าผู้เล่นคนอื่นๆ ด้วยความสัมพันธ์ที่ไม่ดีนักของเขากับมูรินโญ่ เกิดขึ้นอีก ในเกมเสมอ โรม่า 1-1 โดยผู้จัดการชาวโปรตุเกสบอกว่า "คะแนนความสามารถของบาโลเตลลี่เกือบจะเป็นศูนย์" 
     จากนั้นวันที่ 5 ธันวาคม 2009 ในเกมที่แพ้ยูเวนตุส เมื่อเขาถูกเฟลิเป้ เมโล่ ตีศอกเข้าที่หัวไหล่ จนเกิดการทะเลาะกัน และ เมโล่ ถูกไล่ออกจากสนาม 
     ความขัดแย้งของเขากับมูรินโญ่ยิ่งทวีหนักขึ้น ในเกมยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีกในเกมชนะ เชลซี 1-0 โดยบาโลเตลลี่หลุดจากทีมชุุดใหญ่หลังทะเลาะกับผู้จัดการทีม
     ในเดือนมีนาคม 2010 เขาถูกแฟนๆ ของทีมวิจารณ์อย่างหนัก หลังเอาเสื้อของ เอซี มิลาน ไปใส่ออกรายการทางทีวี จนเขาต้องออกแถลงการณ์ขอโทษผ่านเว็บไซต์สโมสร ความเจ้าปัญหาของเขามาถึงจุดแตกหัก เมื่อเขาแสดงอาการไม่พอใจ โดยปาเสื้อทีมลงพื้น หลังถูกแฟน โห่ไล่ตลอดเวลาในสนาม จนทำให้ตกเป็นข่าวว่า บรรดาทีมในพรีเมียร์ ลีก อย่างแมน ยูไนเต็ด และ แมน ซิตี้ สนใจจะดึงตัวไปร่วมทีม
 
 
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2010-11
     วันที่ 12 สิงหาคม 2010 บาโลเตลลี่ตัดสินใจย้ายไปร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยค่าตัว 21.8 ล้านปอนด์ โดยเป็นการร่วมงานกันอีกครั้งกับเจ้านายเก่า โรแบร์โต้ มันชินี่ โดยเลือกสวมเบอร์ 45 ที่ขอมาจาก เกร็ก คันนิ่งแฮม
     วันที่ 19 สิงหาคม 2010 บาโลตลลี่ ลงประเดิมให้ทีม ในเกมบุกไปเยือนชนะ โปเลคติก้า ทิมิโซร่า 1-0 ในยูโรป้า ลีก จากนั้นวันที่ 24 ตุลาคม 2010 ก็เปิดซิงให้ทีมในเกมลีกทีแพ้อาร์เซน่อลไป 3-0  ต่อมาวันที่ 30 ตุลาคม เข้าทำให้ทีมได้ 1 ประตู ในเกมเฉือนชนะ วูลฟ์แฮมป์ตัน ไป 2-1  
     วันที่ 21 ธันวาคม 2010 เขาได้รับรางวัล โกลเด้น บอย ซึ่งได้รับถัดจาก ลิโอเนล เมสซี่ ในปีก่อน โดยไม่วายแขวะว่า เขาไม่รู้จัก แจ็ค วิลเชียร์ ของอาร์เซน่อล แต่อย่างใด 
     วันที่ 28 ธันวาคม 2010 เขาทำแฮตทริกครั้งแรกให้ทีม ในเกมถล่ม แอสตัน วิลล่า 4-0 
     วันที่ 14 พฤษภาคม 2011 เขากลายเป็นแมนออฟเดอะแมตช์ในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ที่ชนะ สโต๊ค ซิตี้ ไป 1-0 เป็นโทรฟี่แรกของสโมสรในรอบ 35 ปี
 
 
2011-12 
     เขาประเดิมลูกแรกของฤดูกาล 2011-12 ในนัดที่ชนะ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ ไป 2-0 ในถ้วยลีกคัพ 
     วันที่ 23 ตุลาคม 2011 เขากดสองลูก ในเกมถล่ม แมน ยูไนเต็ด คาสนามโอลด์แทรฟฟอร์ด 6-1 จากนั้นได้ประเดิมเกมถ้วยยุโรปครั้งแรก ที่พบกับบียาร์รีล โดยซัดจุดโทษไป 1 ลูก
ต่อมาเขาถูกเอฟเอ แบนห้ามลงสนามไป 4 เกม หลังจากตั้งใจเตะใส่ สก็อต พาร์กเกอร์  ในเกมพบ สเปอร์ส 
     อย่างไรก็ตาม เขาถูกวิพากษ์อย่างหนัก ในจังหวะแย่งกันยิงฟรีคิกกับ อเล็กซานเดร์ โคลารอฟ จนมีปากเสียงกัน
     วันที่ 8 เมษายน 2012 บาโลเตลลี่ ถูกแบนไปอีก 3 เกม หลังจากรับใบเหลืองไปอีก จากจังหวะไปปะทะกับ บาการี่ ซานญ่า ในเกมแพ้ อาร์เซน่อล 1-0 จนมันชินี่ ต้องออกมาประกาศว่า จะให้โอกาสบาโลเตลลี่ เป็นครั้งสุดท้าย และพร้อมจะขายทิ้งหากมีปัญหาอีก ที่สุดแล้ว เขาจบซีซั่นนี้ด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ ลีก นับตั้งแต่หนสุดท้ายเมื่อปี 1968
 
2012-13
     ในเดือน ธันวาคม 2012 เขามีปัญหาอีกครั้งจนถูกลงโทษปรับเงินค่าแรง 2 สัปดาห์ ในเรื่องความประพฤติ จนพลาดการเล่นไปอีก 11 เกม เพราะโทษแบน 
 
มิลาน 
     วันที่ 29 มกราคม 2013 เอซีมิลาน ประกาสคว้าตัวเขามาร่วมทีม ด้วยสัญญา 5 ปี มูลค่า 20 ล้านปอนด์  โดย มันชินี่ บอกว่า นี่คือเรื่องที่ถูกต้องที่เขาย้ายไป และสักวันเขาจะกลายเป็นนักเตะที่ดีสุดในโลก โดย บาโลเตลลี่ ยังเลือกสวมเบอร์ 45 ตามเดิม 
 
 
2012-12
     วันที 3 มีนาคม 2013 บาโลเตลลี่ ประเดิมเหมาสองประตูให้ มิลาน ในเกมชนะ อูดิเนเซ่ 2-1 ต่อมาเขากดเบิ้ลได้อีก ในเกมเจอ ปาร์ม่า ซีซั่นนี้เขาโชว์ฟอร์มได้น่าประทับใจมาก จบซีซั่นซัดไป 12 ลูก จาก 13 เกม  และพาทีมคว้าโควต้ายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ด้วย
 
2013-14 
     วันที่ 22 กันยายน 2013 เขาพลาดการทำจุดโทษเป็นครั้งแรก จากทั้งหมด 22 หน โดยถูกเซฟจาก เปเป เรน่า ในเกมแพ้ นาโปลี 2-1 
     โดยเกมที่ฮือฮาของเขาคือ เกมที่เสมอ ลิวอร์โน่ 2-2 เขายิงฟรีคิกจากระยะ 30 หลา ด้วยความแรง 109 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
 
2014-15
     วันที่ 21 สิงหาคม 2014 มิลานได้ตกลงขายเขาให้กับ ลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัว 16 ล้านปอนด์ โดยมีรายงานว่า เขาเตรียมออกจากมิลาน พร้อมร่ำลาทีมไว้เรียบร้อยแล้ว
 
ลิเวอร์พูล 2014-15
     วันที่ 21 สิงหาคม 2014 เอซี มิลาน ได้ตกลงปล่อย บาโลเตลลี่ ให้ลิเวอร์พูล ด้วยราคา 16 ล้านปอนด์
     วันที่ 31 สิงหาคม 2014 เขาได้ประเดิมให้หงส์แดง ในเกมเยือน ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ส ที่บุกไปชนะ 3-0
 
 
ทีมชาติ
     บาโลเตลลี่ ไม่เคยติดทีมชาติชุดยู 15 และ ยู17 เรื่องด้วยยังไม่ได้สัญชาติอิตาลี จนวันที่ 7 สิงหาคม 2007 ก่อนวันเกิดครบ 15 ปีของเขา ก็ได้รับการเรียกติดทีมชาติกานา แต่เขาปฎิเสธไป โดยเขาอยากเล่นให้อิตาลีมากกว่า
 
ยูโร 2012 
     วันที่ 10 มิถุนายน 2012 บาโลเตลลี่ กลายเป็นนักเตะผิวสีคนแรกที่ได้ลงสนามให้อิตาลีในทัวร์นาเม้นท์ใหญ่ ในเกมที่เสมอ สเปน 1-1 โดยเป็นเกมที่เขาโชว์ฟอร์มได้ย่ำแย่
ต่อมา วันที่ 18 มิถุนายน 2012 เขาก็ทำประตูแรกในรายการนี้ได้ในเกมชนะ ไอร์แลนด์ 2-1 โดยจังหวะฉลองประตู เขาถูก เลโอนาโด้ โบนุชชี่ ปิดปากไว้ เนื่องจากกลัวจะสร้างปัญหาอะไรขึ้นมา 
     ต่อมาเขาถูก เซซาเร่ ปรันเดลลี่ ดรอปไว้ข้างสนาม เนื่องจากโชว์ฟอร์มไม่ดี โดยไฮไลต์สำคัญอยู่ที่การเหมาสองลูก พาทีมชนะ เยอรมนี ไป 2-1 ภายใน 40 นาทีแรกของเกม และพาทีมเข้าชิงชนะเลิศ แม้ที่สุดจะได้แค่รองแชมป์หลังแพ้ สเปน 4-0 ก็ตาม
 
ฟุตบอลโลก 2014
     วันที่ 1 มิถุนายน 2014 บาโลเตลลี่ ถูกเลือกเป็น 23 ผู้เล่นทีมชาติอิตาลี ชุดลุยบอลโลก 2014 โดยนัดเปิดสนาม เขายิงประตูชัยให้ทีมชนะ อังกฤษ 2-1 แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาตกรอบแรกของรายการนี้
 
 

ADS