ประวัติ โรเมลู ลูกากู

| 01/01/1970 07:00 น. | 1523 Views

ชื่อ : โรเมลู ลูกากู
เชื้อชาติ : เบลเยี่ยม
วันเกิด : 13 พฤษภาคม 1993
อายุ : 22 ปี
สถานที่เกิด : แอนท์เวิร์ป , เบลเยี่ยม
ตำแหน่ง : กองหน้า
สโมสร : เอฟเวอร์ตัน

ประวัติ
     ลูกากู เริ่มเล่นฟุตบอลกับทีมท้องถิ่นในบ้านเกิดอย่าง รูเปล บูม ก่อนที่เขาจะได้ไปอยู่กับ เลียร์เซ่ และได้กลายไปเป็นนักเตะอาชีพกับทางด้านสโมสร อันเดอร์เลช ในปี 2006 โรเมลู ลูกากู กลายไปเป็นนักเตะอาชีพตั้งแต่ที่เขามีอายุเพียง 16 ปีเท่านั้นและกลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดในลีกเบลเยี่ยมในฤดูกาล 2009-2010 จนพา อันเดอร์เลช คว้าแชมป์ เบลเยี่ยม แชมเปี้ยนชิพ ได้สำเร็จ


     ในปี 2009 โรงเรียนของเขาได้พามาเยี่ยมชมสนาม สแตมฟอร์ด บริดจ์ ของ เชลซี ซึ่ง ลูกากู ถึงกับสบถออกมาว่า ''นี่มันสนามอะไรกัน'' และกล่าวต่อไปว่า ''ถ้าวันนึงผมได้มาใช้ชีวิตที่นี่ ผมคงรู้สึกดีใจจนน้ำตาไหลแน่นอน มันจะเป็นเรื่องที่ดีมากๆหากผมได้ลงเล่นที่นี่'' ก่อนที่จะปิดท้ายว่า ''ผมโคตรรักเชลซี'' ซึ่งแน่นอนว่าด้วยความรักที่มีต่อ เชลซี ขนาดหนักของเขา ทำให้ฮีโร่ในดวงใจของ ลูกากู ไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นก็คือ ดิดิเยร์ ดร็อคบา นั่นเอง

อันเดอร์เลช (2009-2011)
     16 พฤษภาคม 2009 โรเมลู ลูกากู เซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพกับ อันเดอร์เลช โดยเซ็นสัญญาด้วยกัน 3 ปี และเขาก็ได้โอกาสลงเล่นทันทีใน 11 วันต่อมา ซึ่งเป็นเกมในดิวิชั่น 1 ของเบลเยี่ยมรอบเพลย์ออฟเลื่อนชั้น โดยพบกับ สตองดาร์ด ลีเอช โดย ลูกากู ถูกส่งลงสนามเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 69 ของเกม ทว่าเกมนั้น อันเดอน์เลช แพ้ไป 0-1


     ลูกากู ขึ้นมาเป็นตัวหลักของ อันเดอน์เลช ทันทีในฤดูกาล 2009-2010 และยิงประตูแรกได้ในเกมที่พบกับ ซูลเต้ วาเรเกม หลังจากที่ถูกส่งลงสนามมาแทน คานู เมื่อ 28 สิงหาคม 2009 ก่อนจะจบฤดูกาลนี้ด้วยตำแหน่งดาวซัลโวของ โปรลีก จากการยิงไปทั้งหมด 15 ประตู แถมเจ้าตัวยังสามารถยิงได้ถึง 4 ลูกในเวที ยูโรป้า ลีก อีกด้วย


     ฤดูกาล 2010-2011 ถือเป็นฤดูกาลที่สร้างชื่อให้กับเขาอย่างเต็มตัวหลัง ลูกากู ซัดไปได้ถึง 20 ลูก แต่ทว่ามันก็ไม่เพียงพอที่จะพา อันเดอร์เลช คว้าแชมป์ได้สำเร็จ โรเมลู ลูกากู ยิงไปได้ทั้งหมด 33 ประตู จากการลงเล่น 73 นัดให้กับ อันเดอร์เลช

เชลซี (2011-2014)
     สิงหาคม 2011 ฝันกลายเป็นจริงสำหรับศูนย์หน้าร่างยักษ์รายนี้ เมื่อมีรายงานว่า เชลซี จะยอมจ่ายเงินจำนวน 17 ล้านปอนด์ (ประมาน 912 ล้านบาท) ดึงตัวเขาไปร่วมทัพ ซึ่งแบ่งจ่ายเป็นงวดแรก 10 ล้านปอนด์ ก่อนที่จะเพิ่มให้ในภายหลัง โดย ลูกากู จะได้รับเสื้อเบอร์ 18 และเซ็นสัญญายาวกันถึง 5 ปีด้วยกัน เกมแรกที่เขาเปิดตัวที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ สนามในฝันของเขานั้นเป็นการพบกับ นอริช โดยเขาถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองแทน เฟอร์นานโด ตอร์เรส ในนาทีที่ 83 ของเกม


     เกมแรกกับ เชลซี ที่เขาออกสตาร์ทเป็นตัวจริงเกิดขึ้นในศึก ลีกคัพ โดยพบกับ ฟูแล่ม ซึ่งเกมนี้ เชลซี เอาชนะด้วยการดวลจุดโทษไป ส่วนเกมแรกที่เขาออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในศึก พรีเมียร์ลีก เป็นเกมที่พบกับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ซึ่งเขาสามารถคว้า แมนออฟเดอะแมตช์ มาครองได้ด้วยจากการทำ 1 แอสซิต ให้ จอห์น เทอร์รี่ ทว่าในช่วงนั้น เชลซี กลายเป็นทีมยักษ์ใหญ่เกินไปที่จะใช้ศูนย์หน้าอย่างเขาเป็นตัวหลัก ทำให้ ลูกากู ไม่ค่อยได้รับโอกาสลงสนามมากเท่าที่ควร ก่อนจะถูกขึ้นบัญชีปล่อยยืมตัว เขาได้โอกาสลงเล่นให้กับ เชลซี ไปเพียง 10 นัดเท่านั้นและไม่สามารถทำประตูได้เลย

เวสต์บรอมวิช (2012-2013) (ยืมตัว)
     10 สิงหาคม 2012 เวสต์บรอมวิช ตัดสินใจยืมตัว ลูกากู จาก เชลซี มาใช้งานด้วยสัญญา 1 ฤดูกาล โดยเขาได้มาอยู่ที่เพียง 8 วันเท่านั้นก็ทำประตูแรกได้สำเร็จ ในเกมที่พบกับ ลิเวอร์พูล โดยถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 77 ของเกม ก่อนที่จะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในเกมเปิดบ้านพบกับ เร้ดดิ้ง ซึ่งเขาก็ยังทำประตูได้อีกด้วย


     ช่วงเวลาของ ลูกากู ในการอยู่ที่ เวสต์บรอมวิช นั้น เหมือนเป็นการกลับมาแจ้งเกิดใหม่อีกครั้งของตัวเขาเองเพราะสามารถทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำ ซัดไปถึง 17 ลูก จากการลงสนามทั้งหมด 35 นัด โดยในตอนนั้นก็มีข่าวเหมือนกันว่า เวสต์บรอมวิช อยากได้ตัว ลูกากู มาล่าตาข่ายแบบถาวรแต่ทว่าค่าเหนื่อยและค่าตัวของ ลูกากู นั้นเป็นอะไรที่ทางสโมสรสู้ไม่ไหวจริงๆ แถม โรเมลู ลูกากู เองก็ออกมายืนยันแล้วว่าเขายังอยากที่จะกลับไปพิสูจน์ตัวเองในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ทำให้พอจบฤดูกาล เวสต์บรอมวิช ก็ต้องส่งคืน ลูกากู กลับ เชลซี ไปในทันที


     หลังจากถูกส่งกลับมาจาก เวสต์บรอมวิช ลูกากู ก็ได้กลับมานั่งเป็นสำรองให้ เชลซี อยู่หนึ่งเกมในนัด ยูฟ่า ซุปเปอร์ คัพ 2013 โดยพบกับ บาเยิร์น มิวนิค ซึ่งต้องตัดสินกันด้วยการดวลจุดโทษ ซึ่งวันนั้น ลูกากู ก็เป็นคนยิงพลาดด้วย และผลจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของ เชลซี

เอฟเวอร์ตัน (2013-2014) (ยืมตัว)
     ถึงแม้ความฝันของเขาจะเป็นการกลับไปแย่งตัวจริงในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ แต่ทว่าก็ดูเหมือนอนาคตของเขากับยอดทีมจาก ลอนดอน ดูจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่เพราะเมื่อช่วง ซัมเมอร์ 2013 ตลาดนักเตะเปิด ลูกากู ก็ถูก เอฟเวอร์ตัน ขอยืมตัวไปใช้งาน ด้วยสัญญา 1 ฤดูกาลเช่นเดิม เขาเปิดตัวได้อย่างดุดันหลังสามารถทำประตูได้ทันทีในการลงสนามเกมแรกให้กับ เอฟเวอร์ตัน โดยเกมนั้นสามารถเอาชนะ เวสต์แฮม ไปได้ 3-2 เมื่อ 21 กันยายน 2013 ก่อนที่ถัดมาอีก 9 วัน ลูกากู จะโชว์ซัดเบิ้ดใส่ นิวคาสเซิ่ล ให้ ''ทอฟฟี่สีน้ำเงิน'' เอาชนะ ไปได้ 3-2 เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อเกมใหญ่กับ แมนฯซิตี้ เขาก็เป็นคนทำประตูให้ เอฟเวอร์ตัน ออกนำไปก่อน 1-0 ก่อนที่สุดท้ายจะแพ้ไป 1-3 และเกม เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ ครั้งแรกของเจ้าตัว โดยเขากดประตูใส่ ลิเวอร์พูล ได้ถึง 2 ลูกก่อนที่เกมจะจบลงด้วยผลเสมอกันไป 3-3 ซึ่ง ลูกากู ยอมรับว่าเกมนี้เป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับตัวเขามากๆ


     ฤดูกาลนี้ ลูกากู ซัดไปทั้งหมด 15 ลูกจาการลงเล่น 31 นัด ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยพา เอฟเวอร์ตัน จบอันดับที่ 5 ของศึก พรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จโดยเก็บไปได้ทั้งหมด 72 คะแนน

เอฟเวอร์ตัน (2014-ปัจจุบัน)
     30 กรฎาคม 2014 เอฟเวอร์ตัน ตัดสินใจคว้าตัว โรเมลู ลูกากู มาล่าตาข่ายให้กับทีมอย่างถาวร โดยยอมจ่ายเงินถึง 28 ล้านปอนด์(ประมาน 1,500 ล้านบาท) และมอบเบอร์ 10 ให้กับเจ้าตัว โดยการย้ายมายังถิ่น กูดิสัน ปาร์ค ของเขาในครั้งนี้น่าจะมาจากการที่เจ้าตัวเห็นแล้วว่าเขาคงหมดอนาคตกับต้นสังกัดเก่าอย่าง เชลซี จริงๆ แถมทางด้าน เอฟเวอร์ตัน เองก็มีเม็ดเงินมากพอที่จะจ่ายค่าตัวและค่าเหนื่อยของเขา ทำให้การเซ็นสัญญาครั้งนี้เป็นไปได้อย่างราบรื่น


     13 กันยายน 2014 ลูกากู ยิงประตูแรกให้กับ เอฟเวอร์ตัน ได้สำเร็จซึ่งนับตั้งแต่เขาเซ็นสัญญาเป็นนักเตะของ เอฟเวอร์ตัน อย่างเต็มตัว โดยเป็นการยิงใส่ทีมที่เขาเคยค้าแข้งด้วยมาก่อนอย่าง เวสต์บรอมวิช ซึ่งเขาก็ได้ให้เกียรติแก่สโมสรโดยการที่ไม่แสดงอาการดีใจ
     19 กุมภาพันธ์ 2015 ลูกากู กดแฮตทริคแรกในสีเสื้อ เอฟเวอร์ตัน จนได้ โดยเป็นการเอาชนะ ยัง บอยส์ ไปได้ 4-1 ในเกม ยูโรป้า ลีก รอบ 32 ทีมสุดท้าย ซึ่งเป็น แฮตทริคที่สมบูรณ์แบบอีกด้วยนั่นก็คือ ทั้งโหม่ง ยิงด้วยเท้าขวา และยิงด้วยเท้าซ้าย ซึ่งฤดูกาลนี้เขาก็สามารถคว้าตำแหน่งดาวซัลโวของศึก ยูโรป้า ลีกมาครองได้สำเร็จอีกด้วย


     โดย ลูกากู สามารถรักษาผลงานการยิงประตูได้อย่างสม่ำเสมอจนมาถึงฤดูกาลล่าสุด ซึ่งเขาถือว่าเป็นศูนย์หน้าตัวสำคัญของทาง เอฟเวอร์ตัน ที่ขาดไม่ได้ไปแล้ว ฤดูกาล 2015-2016 ลูกากู เปิดตัวด้วยการกด 2 ประตูใส่ เซาท์แธมป์ตัน ช่วยให้ ''ทอฟฟี่สีน้ำเงิน'' เอาชนะไปได้ 3-0
     15 สิงหาคม 2015 ก่อนเกมจะเริ่ม ลูกากู ได้เตะบอลขึ้นไปโดนแฟนบอลบนอัฒจันทร์ ซึ่งเขาก็ได้มอบเสื้อให้เพื่อเป็นการปลอบขวัญแฟนบอลรายนั้นด้วย ซึ่งฤดูกาลนี้เขาเองก็ยังคงฮอตอย่างต่อเนื่องหลังจากที่สามารถทำประตูได้ถึง 8 เกมติดต่อกัน และยังคงมีลุ้นเพิ่มสถิตินี้ต่อไปอีกเรื่อยๆ ถึงตอนนี้ ลูกากู ลงสนามให้กับ เอฟเวอร์ตัน ไปแล้ว 53 นัดนับตั้งแต่เซ็นสัญญากันแบบถาวร และยิงไปได้ทั้งหมด 23 ประตู

ทีมชาติ
     โรเมลู ลูกากู เริ่มต้นติดทีมชาติ เบลเยี่ยมตั้งแต่รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี โดยสามารถทำประตูได้เลยในเกมแรกด้วยที่พบกับ สโลเวเนีย
     24 กุมภาพันธ์ 2010 ลูกากู มีชื่อติดทีมชาติ เบลเยี่ยม ชุดใหญ่เป็นเกมแรกโดยเป็นเกมที่ต้องอุ่นเครื่องกับ โครเอเชีย ก่อนที่เขาจะทำประตูที่ 2 ได้เมื่อ 17 พฤศจิกายน 2010 ในเกมอุ่นเครื่องที่พบกับ รัสเซีย


     พฤษภาคม 2014 ลูกากู มีชื่อติดทีมชาติ เบลเยี่ยม ไปลุยศึก เวิลด์คัพ 2014 ด้วย 26 พฤษภาคม 2014 ลูกากู สามารถกดแฮตทริคแรกในทีมชาติได้สำเร็จซึ่งเป็นเกมอุ่นเครื่องก่อนลุยบอลโลกโดยสามารถยิงใส่ ลักแซมเบิร์ก ไปได้
     ฟุตบอลโลก 2014 ลูกากู ประเดิมด้วยการลงสนามพบกับ แอลจีเรีย แต่ทว่าก็โดนเปลี่ยนตัวออกไปในนาทีที่ 58 ของเกม โดยเป็น ดิวอค โอริกี ที่ถูกส่งลงสนามแทน ในเกมกับ สหรัฐฯ รอบ 16 ทีมสุดท้าย ลูกากู ถูกส่งลงมาในฐานะตัวสำรอง และ แอสซิสต์ ให้กับ เควิน เดอ บรุนย์ ได้สำเร็จ ทำให้ เบลเยี่ยม ออกนำไปก่อนในช่วงต่อเวลาพิเศษ ก่อนที่ ลูกากู จะยิงประตูแรกในรายการนี้และปิดกล่องให้ เบลเยี่ยม เอาชนะ ไปได้ 2-1 โรเมลู ลูกากู ลงสนามไปทั้งหมด 42 เกมและยิงได้ 11 ลูก

ADS