ประวัติ คาลาฟิออรี เพชรเม็ดงามของทัพอัซซูรี่
ชื่อเต็ม : ริคคาร์โด คาลาฟิออรี (Riccardo Calafiori)
วัน/เดือน/ปีเกิด : 19 พฤษภาคม ค.ศ. 2002
ส่วนสูง : 1.88 ซม.
ตำแหน่ง : เซ็นเตอร์แบ็ก, แบ็กซ้าย
สโมสรปัจจุบัน : อาร์เซน่อลริคคาร์โด คาลาฟิออรี เขาเป็นนักฟุตบอลอาชีพชาวอิตาลี เล่นในตำแหน่งกองหลัง ปัจจุบันค้าแข้งอยู่กับ อาร์เซน่อล ทีมดังแห่งพรีเมียร์ลีก อังกฤษ พร้อมติดทีมชาติอิตาลีชุดใหญ่
คาลาฟิออรี เขาเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุ 8 ขวบกับทีมเปตริอาน่า ก่อนจะเข้าร่วมอะคาเดมี่ของโรม่า แม้จะได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าอย่างรุนแรงจนเกือบต้องยุติอาชีพค้าแข้งเมื่ออายุ 16 ปี แต่เขาก็ได้ลงเล่นให้กับโรม่าเป็นครั้งแรกในปี 2020 และเป็นที่รู้จักในฐานะผู้เล่นสารพัดประโยชน์ที่เล่นได้ทั้งตำแหน่งแบ็กซ้ายและเซ็นเตอร์แบ็ก ก่อนถูกปล่อยยืมตัวไปเก็บประสบการณ์กับ เจนัว จากนั้นย้ายออกไปหาความท้าทายใหม่กับ บาเซิล ในสวิตเซอร์แลนด์ และสร้างชื่ออย่างจริงจังกับ โบโลญญา จนฟอร์มไปเข้าตาทีมใหญ่ทั่วยุโรป กระทั่งในเดือนกรกฎาคม ปี 2024 อาร์เซน่อลตัดสินใจคว้าตัวเขามาร่วมทัพ ด้วยค่าตัวเบื้องต้นราว 33.6 ล้านปอนด์
ในระดับทีมชาติ คาลาฟิออรีรับใช้ทีมชาติอิตาลีมาตั้งแต่ชุดเยาวชนหลากหลายรุ่นตั้งแต่ปี 2017 ก่อนจะก้าวขึ้นสู่ทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกในเดือนมิถุนายน 2024 และมีชื่อลุยศึก ยูฟ่า ยูโร 2024 โดยได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงครบทั้ง 3 นัดในรอบแบ่งกลุ่ม แสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจจากทีมงานและศักยภาพที่พร้อมยืนระยะบนเวทีใหญ่
โรม่า :คาลาฟิออรี เป็นเด็กปั้นของ โรม่า โดยเซ็นสัญญาอาชีพฉบับแรกกับสโมสรเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2018 แต่เส้นทางลูกหนังช่วงแรกต้องเจออุปสรรคหนัก เมื่อเขาได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าอย่างรุนแรงเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2018 ถึงขั้นเกือบต้องยุติอาชีพนักฟุตบอลตั้งแต่อายุยังน้อย อย่างไรก็ตาม คาลาฟิออรีไม่ยอมแพ้ และกลับมาสร้างช่วงเวลาน่าจดจำด้วยการประเดิมสนามอาชีพและเกม เซเรีย อา นัดแรกให้กับโรมา ในเกมบุกชนะ ยูเวนตุส 3-1 เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2020 โดยในเกมนั้นเขาเรียกจุดโทษให้ทีมได้ ซึ่ง ดิเอโก้ เปร็อตติ รับหน้าที่สังหารไม่พลาด นอกจากนี้ คาลาฟิออรียังส่งบอลซุกก้นตาข่ายจากลูกยิงไกลหลังจังหวะเตะมุม ทว่าโชคร้ายที่ประตูดังกล่าวถูกริบคืน เนื่องจากบอลออกหลังไปก่อนในจังหวะก่อนหน้า
ฤดูกาลถัดมา วันที่ 3 ธันวาคม 2020 เขาถูกส่งลงสนามในฐานะตัวสำรองแทน เลโอนาร์โด สปินาซโซลา โดยกุนซือ เปาโล ฟอนเซกา ในขณะนั้น และสามารถทำประตูแรกในอาชีพนักเตะได้สำเร็จ ในเกมที่โรม่าเปิดบ้านเอาชนะ ยัง บอยส์ ในศึก ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ต่อมาเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2022 คาลาฟิออรีย้ายไปร่วมทีม เจนัว ด้วยสัญญายืมตัว เพื่อโอกาสลงสนามและเก็บประสบการณ์อย่างต่อเนื่อง
บาเซิล:วันที่ 30 สิงหาคม 2022 โรมาประกาศปล่อยตัว ริคคาร์โด คาลาฟิออรี ย้ายไปร่วมทีม บาเซิล แบบถาวร โดยแนวรับชาวอิตาเลียนเซ็นสัญญา 3 ปี และเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมชุดใหญ่ในฤดูกาล 2022–23 ภายใต้การคุมทัพของกุนซือ อเล็กซานเดอร์ ฟราย
คาลาฟิออรีประเดิมสนามในลีกให้ต้นสังกัดใหม่เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2022 ในเกมบุกไปเยือน ลูกาโน่ แม้บาเซิลจะพ่ายไป 0-1 แต่ช่วงออกสตาร์ตกับทีมใหม่ของเขาถือว่าไม่ง่ายนัก ฟอร์มยังขาดความนิ่งและต้องใช้เวลาในการปรับตัว อย่างไรก็ตามเมื่อฤดูกาลเดินหน้าไปเรื่อยๆ คาลาฟิออรีเริ่มยึดตำแหน่งตัวจริงได้อย่างมั่นคง และกลายเป็นหนึ่งในกำลังหลักของแนวรับทีม
ประตูแรกและประตูเดียวของเขากับบาเซิล เกิดขึ้นในเกมยุโรปวันที่ 16 มีนาคม 2023 ในศึก ยูฟ่า ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่สอง บุกไปเสมอ สโลวาน บราติสลาวา 2-2 ที่สนามเตเฮลเน โพล รวมผลสองนัดเสมอ 4-4 ต้องตัดสินกันด้วยการดวลจุดโทษ ซึ่งคาลาฟิออรีก็รับหน้าที่สังหารไม่พลาด ช่วยให้บาเซิลผ่านเข้าสู่รอบต่อไป และประตูในเกมดังกล่าวถือเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่พาทีมกรุยทางจนถึงรอบรองชนะเลิศของรายการนี้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เส้นทางในคอนเฟอเรนซ์ ลีก ต้องจบลงอย่างน่าเสียดาย เมื่อบาเซิลพ่ายให้กับ ฟิออเรนติน่า ในรอบรองชนะเลิศจากประตูตัดสินที่เสียไปในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของการต่อเวลาพิเศษ
ด้วยผลงานอันแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล ฟอร์มของคาลาฟิออรีไปเข้าตาหลายสโมสรในอิตาลี และสุดท้ายเขาก็เตรียมเก็บข้าวของย้ายกลับบ้านเกิดในช่วงปลายเดือนสิงหาคม หลังจากลงสนามให้บาเซิลรวมทั้งสิ้น 44 นัด ทำได้ 1 ประตู
โบโลญญา :วันที่ 31 สิงหาคม 2023 ริคคาร์โด คาลาฟิออรี กลับคืนสู่เวที เซเรีย อา อีกครั้ง ด้วยการเซ็นสัญญาร่วมทีม โบโลญญา พร้อมกับเพื่อนร่วมทีมจากบาเซิลอย่าง ดาน เอ็นดอย ภายใต้การคุมทีมของกุนซือหนุ่ม ติอาโก ม็อตตา (ในขณะนั้น) คาลาฟิออรีถูกปรับบทบาทไปเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ก ซึ่งกลายเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างยิ่ง เขาพัฒนาเกมรับอย่างก้าวกระโดด อ่านเกมได้เฉียบขาด เติมเกมจากแดนหลังได้โดดเด่น จนถูกยกให้เป็นหนึ่งในกองหลังฟอร์มแรงที่สุดของลีกในฤดูกาลนั้น
ช่วงเวลาที่ถูกพูดถึงมากที่สุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2024 เมื่อคาลาฟิออรีทำสองประตูแรกในเซเรีย อา ในเกมสุดมันที่โบโลญญาเปิดบ้านเสมอ ยูเวนตุส 3-3 โดยหลังจากเขาถูกเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 75 ทีมกลับเสียถึงสามประตูอย่างรวดเร็ว ยิ่งตอกย้ำถึงความสำคัญของเขาในแนวรับ
ตลอดทั้งฤดูกาล คาลาฟิออรีเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยพาโบโลญญาทำผลงานเกินความคาดหมาย คว้าตั๋วไปเล่น ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 1964–65 ด้วยการจบอันดับท็อปไฟว์ของเซเรีย อา ถือเป็นหนึ่งในเทพนิยายลูกหนังของอิตาลีในยุคใหม่ และเป็นฤดูกาลแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวของแนวรับรายนี้
อาร์เซน่อล :วันที่ 29 กรกฎาคม 2024 ริคคาร์โด คาลาฟิออรี ก้าวสู่บทใหม่ในอาชีพค้าแข้ง ด้วยการย้ายมาร่วมทีม อาร์เซน่อล ทีมดังแห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ด้วยสัญญาระยะยาว ค่าตัวเบื้องต้นราว 33.6 ล้านปอนด์ และอาจพุ่งสูงถึง 42 ล้านปอนด์ ตามเงื่อนไขเพิ่มเติม กลายเป็นหนึ่งในการเสริมทัพแนวรับที่ถูกจับตามองมากที่สุดของลีก
แนวรับชาวอิตาเลี่ยนประเดิมสนามให้ “ปืนใหญ่” ในเกมพบ แอสตัน วิลลา เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2024 ก่อนจะสร้างโมเมนต์แจ้งเกิดอย่างแท้จริงในเกมถัดมา วันที่ 22 กันยายน ซึ่งเป็นการออกสตาร์ตตัวจริงนัดแรกให้กับสโมสร เมื่อเขาซัดประตูแรกในสีเสื้ออาร์เซน่อล ในเกมบุกเสมอ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2-2 ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม จากลูกยิงนอกกรอบเขตโทษสุดเฉียบ หลังรับบอลไหลคืนจาก กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ประตูดังกล่าวยังได้รับการโหวตให้เป็นประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนกันยายนของอาร์เซน่อล อีกด้วย
ฟอร์มร้อนแรงยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2025 คาลาฟิออรีทำประตูที่สองให้ทีมคราวนี้เป็นประตูชัยในนาทีที่ 74 ในเกมเยือนวูล์ฟส์ พร้อมเก็บสามแต้มล้ำค่าให้ทีมได้สำเร็จ และอีกสองเดือนถัดมา วันที่ 4 มีนาคม เขาก็ซัดประตูแรกในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ของตัวเองในเกมที่อาร์เซน่อลบุกถล่ม พีเอสวี ไอนด์โฮเฟน 7-1 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย
เข้าสู่ฤดูกาล 2025–26 คาลาฟิออรีออกสตาร์ตได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2025 เขาโขกประตูชัยช่วยให้อาร์เซน่อลบุกชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-0 ในนัดเปิดสนามพรีเมียร์ลีก ฟอร์มอันโดดเด่นตลอดช่วงต้นฤดูกาล จากผลงาน 1 ประตู 2 แอสซิสต์ และ 2 คลีนชีต ใน 3 นัดแรก ทำให้เขามีชื่อลุ้นรางวัล นักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนสิงหาคมของพรีเมียร์ลีก ทันที ตอกย้ำสถานะกองหลังตัวหลักของทีมอย่างเต็มภาคภูมิ
ทีมชาติอิตาลี :
คาลาฟิออรีเริ่มต้นเส้นทางในนามทีมชาติด้วยการประเดิมสนามให้ อิตาลี รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2021 ในฐานะตัวสำรอง เกมรอบคัดเลือกที่อิตาลีเอาชนะ ลักเซมเบิร์ก 3-0 ถือเป็นก้าวแรกบนเวทีนานาชาติของเขา
ก้าวสำคัญที่สุดมาถึงในวันที่ 23 พฤษภาคม 2024 เมื่อ ลูชาโน สปัลเล็ตติ เรียกตัวเขาติดทีมชาติอิตาลีชุดใหญ่เป็นครั้งแรก โดยมีชื่ออยู่ในทีมเบื้องต้นสำหรับสู้ศึก ยูฟ่า ยูโร 2024 ก่อนที่คาลาฟิออรีจะได้ประเดิมสนามนัดแรกให้ทีมชุดใหญ่เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ลงมาเป็นตัวสำรองแทน เฟเดริโก ดิมาร์โก ในนาทีที่ 85 ของเกมอุ่นเครื่องที่เสมอกับ ตุรกี 0-0 ที่เมืองโบโลญญา
หลังจากมีชื่อติดทีมชุดสุดท้ายอย่างเป็นทางการ คาลาฟิออรีก็ได้ลงสนามในเกมแข่งขันจริงนัดแรกทันที เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ด้วยการออกสตาร์ตเป็นตัวจริงในเกมเปิดสนามรอบแบ่งกลุ่ม ที่อิตาลีเอาชนะ แอลเบเนีย 2-1 ซึ่งในวัย 22 ปี กับอีก 27 วัน เขากลายเป็น กองหลังอายุน้อยเป็นอันดับสองที่ได้ลงเล่นในศึกชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ต่อจากตำนานอย่าง เปาโล มัลดินี
อย่างไรก็ตาม เส้นทางยูโรของเขาไม่ได้มีแต่ด้านสวยงาม เมื่อในเกมที่สองของรอบแบ่งกลุ่ม คาลาฟิออรีทำ เข้าประตูตัวเอง ส่งผลให้อิตาลีพ่าย สเปน 0-1 ก่อนจะมาแก้ตัวในเกมสุดท้ายกับ โครเอเชีย ด้วยการจ่ายบอลให้ มัตเตีย ซัคคานญี ยิงประตูตีเสมอในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ช่วยให้อิตาลีเสมอ 1-1 และคว้ารองแชมป์กลุ่ม ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ
อย่างไรก็ดี ใบเหลืองที่เขาได้รับในเกมดังกล่าว กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อทำให้คาลาฟิออรีติดโทษแบน พลาดลงสนามในรอบน็อกเอาต์กับ สวิตเซอร์แลนด์ และท้ายที่สุดอิตาลีก็ต้องยุติเส้นทางในทัวร์นาเมนต์ หลังพ่ายไป 0-2 ปิดฉากยูโร 2024 อย่างน่าเสียดาย
สไตล์การเล่น :ริคคาร์โด คาลาฟิออรี เป็นกองหลังเท้าซ้ายโดยธรรมชาติ เริ่มต้นอาชีพในบทบาท แบ็กซ้าย หรือ วิงแบ็กฝั่งซ้าย ก่อนจะถูกขยับเข้ามายืนเป็น เซ็นเตอร์แบ็ก อย่างจริงจังในช่วงค้าแข้งกับโบโลญญา ภายใต้การคุมทีมของ ติอาโก ม็อตตา ด้วยคุณสมบัติเด่นในการออกบอลจากแดนหลัง ทั้งการจ่ายสั้น–ยาวที่แม่นยำและการเริ่มต้นเกมรุกจากแนวรับ ทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในกองหลังที่โดดเด่นที่สุดของเซเรีย อา ในฤดูกาล 2023–24
ในเชิงแท็กติก คาลาฟิออรีสามารถเล่นได้ทั้งระบบ กองหลังสามคน และ กองหลังสี่คน จุดเด่นคือการอ่านเกมล่วงหน้าได้ดี เข้าปะทะอย่างดุดัน กล้าเพรสซิ่งใส่คู่แข่ง และไม่กลัวการดวลทางกายภาพ
ด้วยความเร็วและพละกำลัง เขาเป็นกองหลังที่ “ทันเกม” อยู่เสมอ อีกทั้งยังได้รับคำชื่นชมอย่างมากในเรื่อง เทคนิคส่วนตัว และ การยิงไกล ที่มีคุณภาพ รวมถึงความสามารถในการพาบอลขึ้นหน้า (ball-carrying) ที่ช่วยเปลี่ยนเกมรับเป็นเกมรุกได้ในพริบตา นอกจากนี้ ส่วนสูงยังทำให้เขาแข็งแกร่งในการดวลลูกกลางอากาศทั้งเกมรับและเกมรุก
เมื่อถูกใช้งานในตำแหน่งฟูลแบ็ก คาลาฟิออรีสามารถเติมเกมสูงขึ้นไปเปิดบอลจากริมเส้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็ยังมีความเร็วพอที่จะถอยกลับมาช่วยเกมรับ และตามเก็บจังหวะสวนกลับของคู่แข่งได้ทันเวลา
ด้วยศักยภาพรอบด้าน ทำให้คาลาฟิออรีถูกมองว่าเป็นหนึ่งใน ดาวรุ่งอิตาลีที่น่าจับตามองที่สุดของยุค เขาเคยมีชื่อติดอันดับ Next Generation 2019 ของ The Guardian ในฐานะ 1 ใน 60 ดาวรุ่งที่ดีที่สุดของโลก และต่อมาในปี 2021 ก็ถูกยกให้เป็นหนึ่งในรายชื่อ “50 for the Future” ของยูฟ่า ยืนยันสถานะเพชรเม็ดงามของวงการลูกหนังอิตาลีอย่างแท้จริง










