ประวัติ ดิเอโก้ ตาร์เดลลี่

| 01/01/1970 07:00 น. | 401 Views

ตาร์เดลลี่ซัดสองพา"แซมบ้า"ยำ"ฟ้าขาว"2-0

          ดิเอโก้ ตาร์เดลลี่ สวมบทฮีโร่ทำคนเดียวสองประตู ช่วยให้ทีมชาติ บราซิล เอาชนะ อาร์เจนติน่า ไปได้ 2-0 ในเกมกระชับมิตรเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2014 ณ สนามกีฬาแห่งชาติปักกิ่ง หรือสนามรังนกที่เคยจัดโอลิมปิกไปแล้วในปี 2008

          เขาได้รับโอกาสกลับมาติดทัพ "เซเลเซา" อีกครั้งในยุคของ คาร์ลอส ดุงก้า ซึ่งเป็นคนเดียวกับที่ดันเขาเข้าสู่ทีมชาติในรอบแรกเมื่อปี 2009 และถูกเรียกมาติดทีมแทนที่ของ เฟร็ด และ โช สองกองหน้าปืนฟืดของทีม โดยเกมนี้เขาลงสนามเป็นหัวหอกตัวเป้า โดยมี เนยมาร์ กับ ออสการ์ คอยประสานงานจากทางด้านข้าง

          ตาร์เดลลี่ ซัดประตูขึ้นนำให้กับทีมในนาทีที่ 28 ก่อนจะมาปิดท้ายด้วยประตูย้ำชัยในนาทีที่ 64 ช่วยให้ขุนพล "แซมบ้า" เอาชนะ อาร์เจนติน่า คู่ปรับตลอดกาลไปได้ 2-0 ซึ่งถือว่าเป็นสองประตูแรกที่เขาทำได้ในฐานะนักเตะที่ถูกเลือก หลังจากที่ติดทีมชาติไปแล้ว 8 นัด และปัจจุบันสังกัดสโมสร แอตเลติโก มิไนโร่ ในลีกบ้านเกิด

ชื่อเต็ม : ดิเอโก้ ตาร์เดลลี่
วันเกิด : 10 พฤษภาคม 1985
เกิดที่ : ซานต้า บาร์บาร่า เด โอเอสเต้, บราซิล
สัญชาติ : บราซิล
ส่วนสูง : 179 เซนติเมตร
ตำแหน่ง : กองหน้า

ประวัติส่วนตัว

          ดิเอโก้ ตาร์เดลลี่ (เกิด 10 พฤษภาคม 1985) กองหน้าจากสโมสร แอตเลติโก มิไนโร่ เขาเป็นนักเตะที่ความสามารถในการเล่นเกมรุกด้วยความรวดเร็วและทักษะความสามารถเฉพาะตัวที่สูงมาก นอกจากนี้ชื่อของเขายังมาจากตำนานลูกหนังอย่าง ดิเอโก้ มาราโดน่า และ มาร์โก้ ตาร์เดลลี่ อีกด้วย เขามีช่วงชีวิตการค้าแข้งที่พเนจรสุด ๆ และเคยค้าแข้งกับสโมสรดัง ๆ หลายที่ เช่น เซา เปาโล, เรอัล เบติส, พีเอสวี, อันจิ มาคัชคาล่า และ อัล-การาฟา เป็นต้น

เส้นทางในอาชีพการค้าแข้ง

ช่วงแรกในการเล่นอาชีพ (2004-2007)

          ตาร์เดลลี่ เป็นเด็กปั้นจากศูนย์ฝึกเยาวชนของสโมสร เซา เปาโล และถูกปล่อยตัวให้กับทีม เรอัล เบติส ในศึก ลาลีก้า สเปน (2005-06) และสโมสร พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น (2006-07)

          เขาลงสนามให้กับ เซา เปาโล ทั้งสิ้น 90 นัด ยิงได้ 18 ประตู นอกจากนี้ยังลงสนามในฐานะแข้งยืมตัวให้กับ เรอัล เบติส และ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น รวมกัน 25 เกม ยิงไปทั้งสิ้น 3 ประตู

ฟลาเมงโก้ (2008)

          เขาย้ายมาเล่นให้กับสโมสร ฟลาเมงโก้ ในเดือน มกราคม ปี 2008 และกลายเป็นทีเด็ดของทีมช่วยให้ต้นสังกัดเอาชนะ โบตาโฟโก้ ในรอบชิงชนะเลิศ ตากา กัวนาบาร่า และอีกครั้งในรองชิงชนะเลิศ ริโอ เด จาเนโร่ สเตท ลีก 2008 กับ โบตาโฟโก้ เจ้าเดิม

          โชคชะตาเริ่มไม่เป็นใจ เมื่อเขาได้รับบาดเจ็บหนักในวันที่ 3 สิงหาคม 2008 ในเกมที่พบกับ ครูไซโร่ ซึ่งได้รับบาดเจ็บบริเวณแขนขวา หลังจากที่ตกมากระแทกพื้น ทำให้เจ้าตัวจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดในทันที แต่ทางทีมแพทย์ของสโมสรเห็นว่าเขายังสามารถฝืนลงเล่นได้จนกระทั่งจบฤดูกาล 2008

          หลังจากที่พักฟื้นนานกว่า 4 เดือน ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2008 ตาร์เดลลี่ ได้ฤกษ์คัมแบ็คลงสู่สังเวียนผืนหญ้าอีกครั้ง ในช่วงครึ่งเวลาหลังที่พบกับทีม ครูไซโร่ แต่เขาก็ถูกไล่ออกจากสนาม เนื่องจากทำฟาวล์หนักในกรอบเขตโทษก่อนที่จะเสียประตู หัวหอกรายนี้ลงสนามให้กับ ฟลาเมงโก้ เพียงแค่ 16 เกมเท่านั้น และยังยิงประตูในลีกไม่ได้เลย

แอตเลติโก มิไนโร่ (2009-2011)

          เขาต้องอำลาทีม ฟลาเมงโก้ ในวันที่ 12 มกราคม ปี 2009 และตบเท้าเข้าร่วมกับสโมสร แอตเลติโก มิไนโร่ ในเวลาต่อมา เขามีช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมกับทีมนี้เป็นอย่างมาก และลงสนามให้กับทีมไปมากถึง 114 เกม ถล่มไปได้ทั้งสิ้น 73 ประตูเลยทีเดียว

          ตาร์เดลลี่ มีข่าวคราวการย้ายตัวกับสโมสรชื่อดังอย่าง แซงต์ เอเตียนน์ ในลีก เอิง ฝรั่งเศส แต่ทางสโมสร แอตเลติโก มิไนโร่ ปฏิเสธที่จะปล่อยตัวเขาก่อนที่จะจบฤดูกาล 2009

อันจิ มาคัชคาล่า (2011-2012)

          ในวันที่ 8 มีนาคม 2011 เป็นวันที่เขาจะต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลหลายพันไมล์ เพื่อที่จะเซ็นสัญญากับสโมสร อันจิ มาคัชคาล่า ยอดทีมจากลีก รัสเซีย โดยมีรายงานว่าค่าตัวของศูนย์หน้าวัย 25 ปีรายนี้อยู่ที่ราว ๆ 7.5 ล้านยูโร (ประมาณ 307 ล้านบาท) กับสัญญาระยะยาว 4 ปี

          เป็นเรื่องน่าเสียดายที่เขาได้รับโอกาสลงสนามน้อยนิดเหลือเกิน เพียงแค่ 13 เกมเท่านั้น และไม่สามารถทำประตูในลีกแดนหมีขาวได้เลยแม้แต่ลูกเดียว

อัล-การาฟา (2012-2013)

          ตาร์เดลลี่ ตกเป็นข่าวหนาหูว่าจะกลับมาค้าแข้งในลีกบ้านเกิดอีกครั้ง เนื่องจากมีปัญหาเรื่องการปรับตัวในประเทศ รัสเซีย อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 10 มกราคม 2012 เขาประกาศตัวเป็นนักเตะคนใหม่ของสโมสร อัล-การาฟา ในลีก กาต้าร์ ด้วยสัญญา 2 ปีครึ่ง และมีค่าตัวในการย้ายทีมอยู่ที่ 7 ล้านยูโร (ประมาณ 287 ล้านบาท)

          เขาลงสนามเป็นนัดแรกให้กับทีมในตะวันออกกลาง เมื่อวันที่ 20 มกราคม ปี 2012 แต่กลับพลาดลูกโทษในนาทีที่ 30 หลังจากที่ลงมาเป็นตัวสำรอง ซึ่งทีมต้นสังกัดพ่ายสโมสร อัล กอร์ ไป 0-2 และโอกาสครั้งที่สองในเกม เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่พบกับ อัล-ฮิลาล เอฟซี ในวันที่ 21 มีนาคม โดยเขาซัดสองประตูให้กับทีม แต่ผลจบลงด้วยการแบ่งกันไปฝั่งละหนึ่งแต้ม

          หัวหอกบราซิลเลี่ยนในวัย 27 ปี ลงสนามให้กับ อัล-การาฟา ไปจำนวนทั้งสิ้น 24 เกม และสังหารไปทั้งหมด 13 ประตู ถือว่าสถิติการจบสกอร์ยังทำได้ไม่เลว

แอตเลติโก มิไนโร่ (2013-ปัจจุบัน)

          ในวันที่ 18 มกราคม 2013 แม่ของเขา อิวาเนีย กล่าวผ่านทางทวิตเตอร์เกี่ยวกับการกลับมาสู่ลีกในบ้านเกิดอีกครั้งกับต้นสังกัดเดิมอย่าง แอตเลติโก มิไนโร่ โดยมีเนื้อหาใจความว่า "Muito Feliz! Meu filho está de volta ao Galo. Obrigado, Senhor!" (ฉันมีความสุขมาก! ที่ลูกชายของฉันกำลังจะกลับมาสู่ "กาโล" ขอบคุณ,ท่านลอร์ด) - กาโล เป็นฉายาของทีม แอตเลติโก มิไนโร่ ซึ่งแปลว่า ไก่แจ้

          และในวันที่ 27 มกราคม ดิเอโก้ ตาร์เดลลี่ ออกมายืนยันว่าการย้ายตัวใกล้บรรลุข้อตกลงได้แล้ว ซึ่งเหลือแค่การรอให้นักเตะเดินทางมาถึงสโมสรในวันที่ 31 มกราคม เท่านั้น และแล้วการเจรจาซื้อขายนักเตะก็จบลง เมื่อเขาได้กลับมาชูเสื้อ แอตเลติโก มิไนโร่ เป็นครั้งที่สองในชีวิต

          ในท้ายที่สุด เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2013 อเล็กซานเดร คาลิล ประธานสโมสรของ แอตเลติโก มิไนโร่ จะประกาศเกี่ยวกับการกลับมาอีกครั้งของ ตาร์เดลลี่ ด้วยค่าตัวจำนวน 5.25 ล้านยูโร (ประมาณ 215 ล้านบาท) และเซ็นสัญญายาวนานกว่า 4 ปีเลยทีเดียว

การลงเล่นในให้กับทีมชาติ

          ตาร์เดลลี่ ถูกเรียกติดทีมชาติครั้งแรกในยุคของ คาร์ลอส ดุงก้า เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2009 และลงสนามนัดแรกในเกมกระชับมิตรกับทีมชาติ เอสโตเนีย ที่เมือง ทาลลินน์ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม

          เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2010 เขาถูกเรียกติดทีมชาติเพื่อลุยศึกฟุตบอลโลก 2010 ในฐานะหนึ่งในเจ็ดนักเตะกำลังสำรอง

          โดยในเดือน ตุลาคม ปี 2013 เขาโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงให้กับ แอตเลติโก มิไนโร่ แต่เขาต้องผิดหวัง เมื่อ หลุยส์ ฟิลิปเป้ สโคลารี่ ไม่เรียกเขาไปร่วมทัพ "เซเลเซา" ในการร่วมศึกฟุตบอลโลกครั้งล่าสุดที่ประเทศ บราซิล เป็นเจ้าภาพ

          และล่าสุดเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2014 เขาถูกเรียกกลับไปติดทีมชาติเป็นรอบที่สอง ภายใต้การทำทีมของ คาร์ลอส ดุงก้า และลงทำศึกซูเปอร์คลาสิโกแห่งอเมริกาใต้ ด้วยการพบกับทีมชาติ อาร์เจนติน่า ที่สนามกีฬาแห่งชาติปักกิ่ง ประเทศจีน ซึ่ง ตาร์เดลลี่ พิสูจน์ตัวเองด้วยการซัดคนเดียวสองประตูให้ขุนพล "แซมบ้า" เอาชนะไปได้ 2-0

ADS