ประวัติ แบร็ด โจนส์

| 01/01/1970 07:00 น. | 408 Views

โอกาสมาแล้ว! โจนส์เฝ้าเสายาวหลัง "บีร็อด" ดร็อปมิโญเล่ต์นั่งสำรอง

          แบร็ด โจนส์ นายทวารมือสองของ ลิเวอร์พูล ได้รับโอกาสทองฝังเพชร เมื่อกุนซือใหญ่ของทีม เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ตัดสินใจสั่งดร็อป ซิมง มิโญเล่ต์ ผู้รักษาประตูมือหนึ่งที่ฟอร์มตกจนเป็นบ่อให้ทีมไม่สามารถรักษาแต้มสำคัญในหลายเกมได้

          ร็อดเจอร์ส บิ๊กบอสชาวไอร์แลนด์เหนือตัดสินใจส่ง โจนส์ ลงเฝ้าเสาเป็นเกมแรกในรายการ ลีก คัพ ที่เปิดบ้านเฉือน สวอนซี ซิตี้ 2-1 ต่อมาในเกมลีกที่พ่ายให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0-3 และบอลถ้วย ลีก คัพ ที่บุกชนะ บอร์นมัธ 3-1 ก่อนจะลงเล่นในเกมลีกล่าสุดที่เสมอ อาร์เซน่อล สุดมันส์ 2-2

          อย่างไรก็ดี กุนซือสมองเพชรยังไม่มีกำหนดการสั่งเลิกดร็อป ซิมง มิโญเล่ต์ กลับมาเป็นมือหนึ่งของทีม และทำให้ โจนส์ จะได้รับโอกาสพิสูจน์ตัวเองอย่างต่อเนื่อง

ชื่อเต็ม : แบร็ดลี่ย์ "แบร็ด" โจนส์
วันเกิด : 19 มีนาคม 1982
เกิดที่ : อาร์มาเดล, ออสเตรเลีย
สัญชาติ : ออสเตรเลีย
ส่วนสูง : 191 เซนติเมตร
ตำแหน่ง : ผู้รักษาประตู

ประวัติส่วนตัว

          แบร็ด โจนส์ (19 มีนาคม 1982) ผู้รักษาประตูชาวออสซี่ เกิดที่เมือง อาร์มาเดล ทางตะวันตกของประเทศออสเตรเลีย ก่อนที่เขาจะร่วมเป็นนักเตะเยาวชนของ เบย์สวอเตอร์ ซิตี้ เอสซี

เส้นทางในอาชีพการค้าแข้ง

มิดเดิ้ลสโบรช์ (1999-2010)

          แบร็ด โจนส์ เซ็นสัญญาเข้าร่วมสโมสร มิดเดิ้ลสโบรช์ เพื่อลงเล่นในระบบเยาวชน ก่อนที่จะได้รับการอัพเกรดสัญญาเป็นนักเตะอาชีพเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 1999 และลงสนามเป็นเกมแรกในเกม เอฟเอ คัพ รอบสาม พบกับ น็อตต์ เคาน์ตี้ ในปี 2004 ซึ่งต่อมาพวกเขาสามารถคว้าแชมป์ ลีก คัพ ได้สำเร็จ

          เขาถูกปล่อยยืมไปหลาย ๆ สโมสร โดยในปี 2001-02 โจนส์ ลงเล่น 4 เกมให้กับทีมใน ไอร์แลนด์ อย่าง เชลบอร์น เอฟซี ซึ่งเขาได้เปิดตัวในลีกไอร์แลนด์เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พบกับคู่ปรับตลอดกาลอย่าง โบฮีเมี่ยนส์ ที่สนาม ดาลี่เม้าท์ ปาร์ค และเสียไปถึง 4 ประตู ในเกมที่เอาชนะไปได้ 6-4 ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นการเตะเปิดจากประตูของเขาด้วย

          ต่อมา โจนส์ ถูกเรียกไปช่วยทีม สต็อคพอร์ท เคาน์ตี้ และ แบล็คพูล ก่อนจะกลับมาสู่อ้อมอกของ มิดเดิ้ลสโบรช์ อีกครั้งในฤดูกาล 2005-06 ซึ่งเขาสามารถเซฟลูกจุดโทษของ รุด ฟาน นิสเตลรอย ในเกมที่เสมอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0-0

          โดยในเดือน สิงหาคม 2006 เขาถูกยืมตัวไปเล่นให้กับทีม เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ ในช่วงระยะสั้น 3 เดือน และสามารถช่วยทีมเซฟจุดโทษได้สองเกมติดกับ พลีมัธ อาร์ไกล์ และ ลีดส์ ยูไนเต็ด

          จากการที่ มาร์ค ชวาร์เซอร์ ย้ายออกจากทีมไปเล่นให้กับสโมสร ฟูแล่ม ทำให้เขาได้ขึ้นเป็นมือหนึ่งของทีมแทน ซึ่งเขาอยู่ในทีมที่ตกชั้นในฤดูกาล 2009-10 อีกด้วย

ลิเวอร์พูล (2010-ปัจจุบัน)

          เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2010 โจนส์ ตบเท้าเข้าร่วมทัพ ลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัว 2.3 ล้านปอนด์ (ประมาณ 118 ล้านบาท) ซึ่งเขาได้ลงทะเบียนนักเตะในฐานะแข้ง "โฮม-โกรน" ตามกฎใหม่ที่ได้ตั้งขึ้นในพรีเมียร์ลีก ในวันที่ 19 สิงหาคม เขามีโอกาสได้นั่งชมเพื่อนร่วมทีมลงเตะในเกม ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก รอบเพลย์-อ๊อฟ เลกแรก ที่สนาม แอนฟิลด์

          โจนส์ ได้รับโอกาสลงสนามเป็นครั้งแรกแบบไม่เป็นทางการในเกม เทสติโมเนียล ของ เจมี่ คาร์ราเกอร์ พบกับ เอฟเวอร์ตัน XI หลังจากนั้น เขาก็ลงสนามเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเกม ลีก คัพ รอบสาม พบกับ นอร์ทแฮมป์ตัน ทาวน์ เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2010 ซึ่งผลจบลงด้วยการเสมอกันไป 2-2 และเป็น ลิเวอร์พูล ที่พ่ายจากการดวลจุดโทษ

          เกมที่สองในสีเสื้อของ "หงส์แดง" เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2010 ในเกม ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก พบกับ อูเทร็ชต์ และเป็นเกมแรกที่สามารถรักษาคลีนชีตได้อีกด้วย แต่น่าเสียดายที่เกมนี้จะเป็นนัดสุดท้ายของเขาในฤดูกาล 2010-11

          หลังจบเดือน มีนาคม เขาได้ถูกยืมตัวไปเล่นให้กับ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ยาวหนึ่งฤดูกาลในปี 2010-11 และลงสนามเป็นเกมแรกในแมตช์ที่พ่ายให้กับ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ 1-4 และเสียไปถึง 16 ประตูจาก 7 เกมที่ลงเฝ้าเสาให้กับ "แกะเขาเหล็ก" ซึ่งหลังจบฤดูกาล เขาถูกส่งตัวกลับ ลิเวอร์พูล ในทันที

          เขากลับมาสู่ทัพ "เครื่องจักรสีแดง" อีกครั้ง และลงสนามในเกมพรีเมียร์ลีกครั้งแรกกับ ลิเวอร์พูล ในวันที่ 10 เมษายน 2012 ซึ่งเป็นเกมที่เอาชนะ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 3-2 โดยเขาลงสนามมาเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 26 หลังจากที่ โดนี่ ถูกไล่ออกจาสนามจากการทำฟาวล์ จูเนียร์ ฮอยเล็ตต์ ในกรอบเขตโทษ และเป็น โจนส์ ที่สวมบทฮีโร่ ช่วยเซฟลูกโทษได้

          โจนส์ ได้รับโอกาสลงสนามเป็นเกมแรกในฤดูกาล 2012-13 ในเกม ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก รอบคัดเลือกพบกับ โกเมล เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม และก็เป็นทางฝั่ง ลิเวอร์พูล ที่เอาชนะไปได้ 1-0 หลังจากนั้นในวันที่ 20 กันยายน เขาลงเฝ้าเสาอีกครั้งในเกมที่เอาชนะ ยัง บอยส์ 5-2 ในศึก ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก รอบแบ่งกลุ่ม ก่อนที่จะกลับมาลงช่วยทีมในเกม ลีก คัพ ในเกมที่คว้าชัยเหนือ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 2-1 ในวันที่ 26 กันยายน

          จากผลงานที่ยอดเยี่ยมของ โจนส์ ทำให้ทีมตัดสินใจมอบสัญญาฉบับใหม่ให้กับเขาในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน เขาลงเฝ้าเสาในเกมที่เอาชนะ นอริช ซิตี้ 5-0 ในรายการพรีเมียร์ลีกและเป็นการเก็บคลีนชีตได้อีกด้วย โดยผลงานทั้งหมดตลอดซีซั่น 2012-13 เขาลงสนามไปทั้งสิ้น 15 ครั้ง เสียไป 21 ประตูและรักษาคลีนชีตได้ 4 เกม

          ในช่วงฤดูกาล 2013-14 แบร็ด โจนส์ ไม่ได้ลงสนามในลีกให้กับทีมเลยแม้แต่เกมเดียว แต่เขายังเป็นผู้รักษาประตูหมายเลขหนึ่งของทีมในการลงเล่นในศึก เอฟเอ คัพ ก่อนที่จะพ่าย อาร์เซน่อล สองเกมรวดตกรอบห้าไปในที่สุด

          เมื่อในวันที่ 14 ธันวาคม 2014 โจนส์ ออกสตาร์ทเป็น 11 ผู้เล่นตัวจริงในเกมที่พบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แทนที่ของ ซิมง มิโญเล่ต์ ที่โชว์ฟอร์มไม่ดีตลอดหลายเดือนในช่วงหลัง ซึ่งผลการแข่งขันจบลงด้วยความพ่ายแพ้ 0-3 โดยมีนักวิเคราะห์บางคนให้เหตุผลว่าเขามีส่วนกับสองประตูที่เสียอีกด้วย

การลงเล่นในให้กับทีมชาติ

          โจนส์ ถูกเรียกติดทีมชาติออสเตรเลียชุดใหญ่ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2007 แทนที่ของ มาร์ค ชวาร์เซอร์ ในเกมกระชับมิตร ซึ่งการออกสตาร์ทเป็นตัวจริงเกมแรกให้กับขุนพลแดนจิงโจ้ เกิดขึ้นในเกมที่พบกับ อุุรุกวัย เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2007 นอกจากนี้เขายังมีส่วนร่วมกับทัวร์นาเม้นต์ เอเอฟซี เอเชี่ยน คัพ 2007 ซึ่งว่าเขาไม่ได้ลงสนามเลยแม้แต่เกมเดียว

          เขามีชื่ออยู่ใน 23 แข้งสุดท้ายของทีมชาติ ออสเตรเลีย ไปลุยศึกฟุตบอลโลก 2010 แต่เขาโชคร้าย เมื่อต้องขอถอนตัวออกจากทีมกลางคัน เมื่อทราบข่าวว่าลูกชายของเขาป่วยเป็นโรคลูคีเมีย และนั่นทำให้เขาไม่ได้กลับไปร่วมการแข่งขันอีกเลย

ความสำเร็จในระดับสโมสร

แบล็คพูล

- แชมป์ ลีก โทรฟี่ : 2003-04

ADS