ประวัติ อิซัค หอกค่าตัวแพงสุดในลีก กับบททดสอบที่แอนฟิลด์
ชื่อเต็ม : อเล็กซานเดอร์ อิซัค (Alexander Isak)
วัน/เดือน/ปีเกิด : 21 กันยายน ค.ศ. 1999
ส่วนสูง : 1.92 ซม.
ตำแหน่ง : กองหน้า
สโมสรปัจจุบัน : ลิเวอร์พูลอเล็กซานเดอร์ อิซัค เป็นนักฟุตบอลอาชีพชาวสวีเดน ในตำแหน่งกองหน้า ปัจจุบันเล่นให้กับสโมสรลิเวอร์พูลในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ และทีมชาติสวีเดน เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดในโลก
อิซัคเกิดและเติบโตที่เมืองโซลนา ประเทศสวีเดน เขาเริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลกับเอไอเค สโมสรบ้านเกิดในปี 2016 ก่อนจะย้ายไปเล่นให้โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และวิลเลม ทเว จากนั้นในปี 2019 เขาเซ็นสัญญากับเรอัล โซเซียดาด ทีมดังจากสเปน
ในปี 2022 อิซัคย้ายไปร่วมทีม นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัวสถิติสโมสร และในปี 2025 เขาย้ายไปอยู่กับลิเวอร์พูลด้วยค่าตัว 125 ล้านปอนด์ กลายเป็นสถิติใหม่ทั้งของสโมสรและวงการฟุตบอลอังกฤษอีกด้วย
อิซัคติดทีมชาติสวีเดนชุดใหญ่ตั้งแต่ปี 2017 ลงเล่นให้ทีมชาติมากกว่า 50 นัด และเคยร่วมทีมในการแข่งขันยูโร 2020 นอกจากนี้เขายังเป็นผู้เล่นที่ทำประตูได้อายุน้อยที่สุดทั้งในประวัติศาสตร์ของเอไอเคและทีมชาติสวีเดนอีกด้วย
ชีวิตในวัยเด็ก :
อิซัคเกิดเมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 1999 โดยมีพ่อแม่เป็นชาวเอริเทรีย และเติบโตในเขตเทศบาลซอลนา ใจกลางเขตสต๊อกโฮล์ม เขาเริ่มเล่นให้กับทีมเยาวชนของสโมสรที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในพื้นที่นั่นคือเอไอเค ตั้งแต่อายุ 6 ขวบเส้นทางอาชีพ
เอไอเค :
อิซัคลงสนามให้ทีมชุดใหญ่ของ เอไอเค เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2016 โดยถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 75 ในศึกสวีเดนคัพ เกมเยือนทีมระดับดิวิชัน 4 อย่าง Tenhults IF ซึ่งในตอนนั้นเขาอายุเพียง 16 ปี เท่านั้น และสามารถยิงประตูได้ในเกมที่ทีมถล่มคู่แข่ง 6-0ต่อมาในวันที่ 7 เมษายน ผู้จัดการทีม เอไอเค ในขณะนั้น อันเดรียส อัล์ม ส่งอิซัคลงตัวจริงในเกมลีกนัดเยือนออสเตอร์ซุนด์ส คู่กับคาร์ลอส สแตรนด์เบิร์ก กองหน้าดาวรุ่งอีกคน อิซัคยิงประตูที่สองช่วยให้ทีมชนะ 2-0 และทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูในลีกสูงสุดให้กับ เอไอเค ได้ ด้วยอายุเพียง 16 ปี 199 วัน
ต่อมาในวันที่ 25 เมษายน อิซัคทำประตูแรกในสนามเหย้า เฟรนด์ อารีน่า โดยเป็นประตูขึ้นนำในเกมที่ทีมชนะ เอลส์บอร์ก 2-1 ด้วยผลงานที่โดดเด่นแบบสุดๆนี้ทำให้เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม อิซัคได้เซ็นสัญญาอาชีพฉบับแรกกับสโมสรจนถึงสิ้นฤดูกาล 2018 แม้ว่าในฤดูกาลนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงระหว่างนัดที่ 8 และ 9 ผู้จัดการทีมอัล์มถูกปลดจากตำแหน่ง แต่ผู้จัดการทีมคนใหม่ ริคาร์ด นอร์ลิง ก็ยังคงไว้วางใจและใส่ชื่ออิซัคในทีมตัวจริงเช่นเดิม
วันที่ 21 กันยายน ซึ่งเป็นวันเกิดครบรอบ 17 ปีของอิซัค เขาทำสองประตูสำคัญในเกมดาร์บี้แมตช์ที่เอไอเคเอาชนะคู่ปรับตลอดกาลอย่าง เยอร์การ์เดนส์ 3-0 ต่อมาชิเนดู โอบาซี เพื่อนร่วมทีมได้ยกย่องเขาว่าเป็น "ซลาตัน อิบราฮิโมวิช คนใหม่แห่งสวีเดน"
โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ :เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2017 อิซัคได้เซ็นสัญญาระยะยาวกับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ทีมดังในบุนเดสลีกา โดยสัญญาจะมีผลจนถึงช่วงซัมเมอร์ปี 2022 ค่าตัวไม่ได้ถูกเปิดเผยอย่างเป็นทางการ แต่มีรายงานว่าดอร์ทมุนด์จ่ายราว 9 ล้านยูโร ซึ่งถือเป็นค่าตัวสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของผู้เล่นจากลีกสวีเดนในขณะนั้น ก่อนตกลงย้ายทีม เขาเคยปฏิเสธข้อเสนอจากเรอัล มาดริดอีกด้วย
อิซัคลงสนามให้ดอร์ทมุนด์ครั้งแรกในเกมเดเอฟเบ โพคาลที่ชนะสปอร์ตฟรุนเด้ ลอตเต้ 3-0 เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2017 และคว้าเหรียญแชมป์แรกกับสโมสรจากการที่ดอร์ทมุนด์คว้าแชมป์เดเอฟเบ โพคาล ฤดูกาล 2016–17 มาครอง แม้ว่าเขาจะลงเล่นในรายการนี้เพียงนัดเดียวและไม่มีชื่อในนัดชิงชนะเลิศก็ตาม
ต่อมาเขายิงประตูแรกในการแข่งขันอย่างเป็นทางการให้กับดอร์ทมุนด์ในเกมเดเอฟเบ โพคาล ฤดูกาล 2017–18 รอบสอง ที่ชนะ มักเดเบิร์ก 5-0 เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2017 โดยเป็นผู้ทำประตูที่สองของเกมนั้น
ยืมตัวไป วิลเล่ม ทเว :
เมื่อไม่ได้ลงสนามในบุนเดสลีกาฤดูกาล 2018–19 เลย อิซัคถูกปล่อยยืมไปเล่นกับ วิลเล่ม ทเว ในเอเรดิวิซี่ ลีกเนเธอร์แลนด์ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2019 เขายิงประตูตีเสมอและยิงจุดโทษตัดสินช่วยให้ทีมเอาชนะ อาแซด อัลค์มาร์ ในรอบรองชนะเลิศฟุตบอลถ้วยเคเอ็นวีบี คัพ ส่ง วิลเล่ม ทเว เข้าชิงบอลถ้วยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2005
ต่อมาในวันที่ 30 มีนาคม เขากลายเป็นนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์เอเรดิวิซีที่ยิงจุดโทษได้ 3 ลูกในเกมเดียว ช่วยให้ทีมเอาชนะ ฟอร์ทูน่า ซิตตาร์ด 3-2 จากนั้นในวันที่ 14 เมษายน อิซัคสร้างสถิติอีกครั้งด้วยการเป็นผู้เล่นต่างชาติคนแรกในเอเรดิวิซีที่ยิงได้ 12 ประตูจาก 12 เกมลีกแรกของเขา
เรอัล โซเซียดาด :ด้วยผลงานที่ดีขึ้นตามลำดับทำให้ในวันที่ 12 มิถุนายน ปี 2019 อิซัคได้เซ็นสัญญา 5 ปี กับเรอัล โซเซียดาด ที่จากสเปนและย้ายร่วมทีมอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 กรกฎาคม โดยเขายิงประตูแรกให้ทีมได้ตั้งแต่นัดประเดิมสนามของตัวเอง เขาทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในช่วงปรีซีซั่น ยิง 4 ประตูจาก 5 เกม
อิซัคทำประตูอย่างเป็นทางการลูกแรกให้โซเซียดาดในเกมลาลีกาที่ชนะเอสปันญอล 3-1 เมื่อวันที่ 22 กันยายน ต่อมาในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ เขายิง 2 ประตูและจ่าย 1 แอสซิสต์ ในเกมโกปา เดล เรย์ รอบก่อนรองชนะเลิศที่เอาชนะเรอัล มาดริด นอกจากนี้ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ เขายังยิงประตูชัยในเกมบาสก์ดาร์บี้ที่พบแอธเลติก บิลเบาอีกด้วย
วันที่ 3 เมษายน 2021 อิซัคคว้าโทรฟี่แรกกับสโมสร หลังลงตัวจริงและเล่น 89 นาทีในนัดชิงโกปา เดล เรย์ ปี 2020 ซึ่งโซเซียดาดเฉือนชนะแอธเลติก บิลเบา 1-0 คว้าแชมป์โกปา เดล เรย์ ฤดูกาล 2019–20 ไปครองอย่างยิ่งใหญ่
ต่อมาในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2021 เขายิงแฮตทริกแรกให้สโมสรในเกมชนะเดปอร์ติโบ อลาเบส 4-0 กลายเป็นนักเตะสวีเดนคนแรกที่ทำแฮตทริกได้ในเวทีลาลีกานับตั้งแต่ เฮนรี "การ์วิส" คาร์ลสัน ทำได้กับแอตเลติโก มาดริด ในปี 1949
ในฤดูกาลถัดมา อิซัคทำได้ 10 ประตูจากทุกรายการ พร้อมช่วยให้โซเซียดาดจบอันดับ 6 ในลาลีกา
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด :
ฤดูกาล 2022–23:
ก้าวสเต็ปต่อไปของ อิซัค เกิดขึ้นในวันที่ 26 สิงหาคม 2022 เมื่อเขาได้เซ็นสัญญา 6 ปี ย้ายไปอยู่กับนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ซึ่งมีผลจนถึงมิถุนายน 2028 เขายิงประตูได้ตั้งแต่นัดประเดิมสนามเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม และคว้ารางวัลแมนออฟเดอะแมตช์ แม้ทีมจะแพ้ลิเวอร์พูล 1-2 ที่แอนฟิลด์ก็ตามหลังจากยิงจุดโทษในเกมเสมอบอร์นมัธ 1-1 ได้ไม่นานเขาก็ต้องโชคร้ายพักยาว 16 นัดเพราะอาการบาดเจ็บเอ็นหลังหัวเข่า ก่อนจะกลับมาลงเล่นครึ่งแรกในเกมเอฟเอคัพรอบสามพบเชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์
ต่อมาวันที่ 15 มกราคม 2023 เขายิงประตูแรกหลังหายเจ็บ ในนาทีที่ 89 ช่วยทีมชนะฟูแลม 1-0 ต่อมาในวันที่ 17 มีนาคม เขายิงสองประตูแรกให้สโมสรในเกมชนะน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 2-1 โดยประตูที่สองมาจากจุดโทษช่วงทดเวลา
ในวันที่ 23 เมษายน เขายิงอีกสองประตูในเวลาเพียงสองนาที ช่วยทีมถล่มท็อตแนม ฮอตสเปอร์ 6-1 และห้าวันถัดมา เขาโชว์การเลี้ยงผ่านกองหลังเอฟเวอร์ตันถึงสามคนก่อนเปิดให้เจคอบ เมอร์ฟีทำประตูในเกมชนะทอฟฟี่ 4-1 จนทำให้ผู้จัดการทีม เอ็ดดี้ ฮาว ออกมาพูดเปรียบเทียบเขากับเธียร์รี อองรี
ฤดูกาล 2023–25:
ฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลที่อิซัคฟอร์มแรงมากๆ โดยเขายิงสองประตูในเกมเปิดฤดูกาลช่วยให้ทีมเอาชนะแอสตัน วิลลา 5-1 ต่อมาในวันที่ 27 กันยายน เขายิงประตูโทนช่วยให้ทีมชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-0 ในเกมคาราบาว คัพ ซึ่งถือว่าเป็นชัยชนะนัดแรกเหนือซิตี้ในรอบ 11 เกมหลังสุดที่เคยเจอกันมาจากนั้นเขายิงหนึ่งประตูในเกมเอาชนะเชลซี 4-1 หลังกลับมาจากอาการเจ็บขาหนีบเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน และอีกสามวันต่อมา เขายิงประตูแรกในยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกให้สโมสรในเกมเยือนปารีส แซงต์-แชร์กแมง แม้สุดท้ายเกมจะจบที่เสมอ 1-1 ก็ตาม
วันที่ 14 เมษายน 2024 เขายิงประตูที่ 16 และ 17 ของฤดูกาลในเกมชนะท็อตแน่ม 4-0 ทำให้สถิติต่อฤดูกาลของเขาเทียบเท่าสถิติของซลาตัน อิบราฮิโมวิชสำหรับนักเตะสวีเดนในพรีเมียร์ลีก อีกด้วย วันที่ 28 เมษายน เขายิงอีกสองประตูในเกมถล่มเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 5-1 ทำลายสถิติของซลาตันสำเร็จ เขาจบฤดูกาลด้วยการเป็นดาวซัลโวสูงสุดของทีมนิวคาสเซิลที่ 21 ประตูในลีก เป็นรองเพียงเออร์ลิง ฮาแลนด์ และโคล พาล์เมอร์ เท่านั้น
วันที่ 21 ธันวาคม 2024 เขายิงแฮตทริกแรกให้สโมสรได้ในเกมชนะอิปสวิช 4-0 กลายเป็นนักเตะสวีเดนคนแรกที่ยิงแฮตทริกในพรีเมียร์ลีกนับตั้งแต่เฟรดดี้ ลุงเบิร์ก ในปี 2003 นอกจากนี้ประตูแรกที่เขายิงในเกมใช้เวลาเพียง 25.95 วินาที กลายเป็นประตูทีมเยือนที่เร็วที่สุดของนิวคาสเซิลในพรีเมียร์ลีกอีกด้วย
วันที่ 10 มกราคม 2025 อิซัคคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีกประจำเดือนธันวาคม หลังยิง 8 ประตู และจ่าย 2 แอสซิสต์ รวมถึงทำประตูได้ 6 นัดติดต่อกัน เขายังคว้ารางวัลประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนจากประตูที่ยิงใส่ลิเวอร์พูลในเกมเสมอ 3-3 อีกด้วย ต่อมาในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ เขายิงประตูที่ 50 ของตัวเองในพรีเมียร์ลีก พร้อมเพิ่มอีกหนึ่งประตูในเกมชนะน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 4-3
หนึ่งเดือนต่อมา ในวันที่ 16 มีนาคม เขายิงหนึ่งประตูในเกมชนะลิเวอร์พูล 2-1 ในรอบชิงคาราบาว คัพ ช่วยนิวคาสเซิลคว้าแชมป์ภายในประเทศครั้งแรกตั้งแต่ปี 1955 ต่อมาในวันที่ 20 มิถุนายน มีการประกาศว่าอิซัคเป็นหนึ่งในหกผู้เข้าชิงรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ PFA
ดราม่าย้ายทีม :
วันที่ 24 กรกฎาคม มีรายงานว่าเขาแจ้งความประสงค์ต่อนิวคาสเซิ่ลสโมสรต้นสังกัดว่าเขาต้องการย้ายทีม โดยมีข่าวเชื่อมโยงอย่างหนักกับ ลิเวอร์พูล สองวันถัดมา วันที่ 26 กรกฎาคม เขาถูกพบว่ากำลังซ้อมเดี่ยวที่เรอัล โซเซียดาด เพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บต้นขา และไม่ได้เดินทางร่วมทีมนิวคาสเซิ่ลในทัวร์ปรีซีซั่นที่เอเชียอีกด้วยการเจรจาระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ นิวคาสเซิ่ล ยังไม่มีอะไรที่ชัดเจน แต่อิซัคก็แสดงความปรารถนาที่จะย้ายออกจากถิ่น เซนต์ เจมส์ พาร์ก อย่างจัดเจน ในวันที่ 14 สิงหาคม เขาประกาศไม่ยอมลงเล่นให้กับ "เดอะ แม็กพาย" ในเกมเปิดฤดูกาลกับแอสตัน วิลลา
วันที่ 19 สิงหาคม เขาออกแถลงการณ์ผ่านอินสตาแกรม ยืนยันความตั้งใจที่จะย้ายทีม พร้อมกล่าวหาว่าสโมสรผิดคำสัญญา โดยใจความตอนหนึ่งระบุว่า : "เมื่อคำสัญญาถูกทำลายและความเชื่อใจหายไป ความสัมพันธ์ก็เดินต่อไปไม่ได้"
ไม่นานหลังจากนั้น สโมสรนิวคาสเซิ่ลก็ออกแถลงตอบโต้ว่าไม่เคยมีสัญญาใดๆ ที่อนุญาตให้เขาย้ายทีมในช่วงซัมเมอร์ และยืนยันว่าต้องการให้เขาอยู่กับทีมต่อไป
ลิเวอร์พูล :
หลังจากฝ่ามรสุมดราม่าเรื่องย้ายทีมอย่างหนัก ในวันที่ 1 กันยายน 2025 ลิเวอร์พูลก็ประกาศคว้าตัวอิซัคด้วยสัญญาระยะยาว ด้วยค่าตัวระดับสถิติของวงการฟุตบอลอังกฤษ รายงานระบุว่าค่าตัวอยู่ที่ 125 ล้านปอนด์ ทำให้การย้ายทีมครั้งนี้กลายเป็นดีลที่แพงที่สุดเป็นอันดับสามตลอดกาล โดยอิซัคไม่ได้มีชื่อในทีมชุดแข่งขันเกมพบเบิร์นลีย์เมื่อวันที่ 14 กันยายน โดยผู้จัดการทีม อาร์เน่อ สล็อต ให้เหตุผลว่าเขายังไม่ฟิตพอที่จะลงสนาม
เขาลงเล่นนัดแรกให้ลิเวอร์พูลเมื่อวันที่ 17 กันยายน ในเกมยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกรอบแบ่งกลุ่มที่ทีมชนะแอตเลติโก มาดริด 3-2 , วันที่ 23 กันยายน อิซัคยิงประตูแรกให้ลิเวอร์พูลได้สำเร็จ เป็นประตูขึ้นนำในเกมคาราบาว คัพ ที่ทีมชนะเซาท์แฮมป์ตัน 2-1 ถัดมาในวันที่ 30 พฤศจิกายน เขายิงประตูแรกในพรีเมียร์ลีกให้สโมสรได้ในเกมบุกชนะเวสต์แฮม ยูไนเต็ด 2-0 ที่ลอนดอนสเตเดี้ยม
ทีมชาติ สวีเดน :อิซัคเคยติดทีมชาติสวีเดนชุดเยาวชนตั้งแต่รุ่น ยู-16 จนถึง ยู-21 เขาถูกเรียกติดทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกสำหรับเกมอุ่นเครื่องพบไอวอรีโคสต์ในวันที่ 8 มกราคม 2017 และพบสโลวาเกียในวันที่ 12 มกราคม
โดยในเกมกับ สโลวาเกีย เขายิงประตูขึ้นนำในนาทีที่ 19 ช่วยให้สวีเดนถล่มเอาชนะไปได้ 6-0 ทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่ยิงประตูให้ทีมชาติสวีเดนได้ในประวัติศาสตร์
วันที่ 23 มีนาคม 2019 อิซัคลงเล่นเกมอย่างเป็นทางการให้ทีมชาติครั้งแรกในศึกยูโร 2020 รอบคัดเลือก พบโรมาเนีย โดยลงมาแทนโรบิน ไควสันในนาทีที่ 88 เกมนั้นสวีเดนชนะ 2-1
จากนั้นเขายิงประตูอย่างเป็นทางการลูกแรกให้ทีมชาติเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ในเกมยูโร 2020 รอบคัดเลือกที่สวีเดนชนะมอลตา 3-0 โดยอิซัคยิงประตูปิดท้ายของเกม
สไตล์การเล่น :
สื่อต่างๆ มักยกย่องให้ อิซัค เป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดในโลก อิซัคได้รับการยกย่องว่าเป็น "กองหน้ายุคใหม่ที่แท้จริง" ด้วยส่วนสูง 6 ฟุต 4 นิ้ว ที่โดดเด่น ขณะเดียวกันก็มีความเร็วและทักษะการเล่นบอลกับเท้าอันโดดเด่น ทำให้เขาสามารถหลบหลีกพื้นที่แคบๆ และเอาชนะกองหลังได้อย่างชาญฉลาด ความนิ่งของอิซัคในการจบสกอร์ด้วยเท้าทั้งสองข้าง รวมถึงความสามารถในการเชื่อมเกมและการจ่ายบอลก็เป็นที่ยอมรับ ทำให้เพื่อนร่วมทีมสามารถร่วมโจมตีได้อิซัคมีการยืนตำแหน่งและเคลื่อนไหวอย่างชาญฉลาดในพื้นที่รุก ทำให้ยากต่อการถูกจับโดยกองหลังฝ่ายตรงข้าม และเปิดช่องว่างให้ตัวเองและเพื่อนร่วมทีมใช้ประโยชน์ในการวิ่งทะลุแนวรับ
เมื่อไม่ได้ครองบอล ความขยันและการยืนตำแหน่งเชิงรับของอิซัคก็เป็นจุดเด่นสำคัญของเกมโดยรวมของเขาอีกด้วย อิซัคถูกใช้ทั้งในบทบาทกองหน้าตัวเป้า กองหน้าปีกซ้าย และในระบบกองหน้าคู่ โดยในบทบาทกองหน้าตัวเป้า เขาใช้ความแข็งแกร่งในการประคองบอล ส่วนในบทบาทอื่นๆ เขาใช้ความเร็วเพื่อเจาะช่องว่างในแนวรับฝ่ายตรงข้าม











