ประวัติ มาร์ติเนลลี่ ปีกเครื่องแรงของปืนใหญ่

sittiwut | 05/12/2025 21:21 น. | 28 Views

 

ชื่อเต็ม : กาเบรียล เตโอโดโร มาร์ติเนลลี่ ซิลวา (Gabriel Teodoro Martinelli Silva)
วัน/เดือน/ปีเกิด : 18 มิถุนายน ค.ศ. 2001
ส่วนสูง : 1.78 ซม.
ตำแหน่ง : กองหน้า, ปีกซ้าย
สโมสรปัจจุบัน : อาร์เซน่อล


           กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ เขาเกิดที่เมืองกวารูลญอส ประเทศบราซิล เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 2001 โดยมีบิดาที่มีเชื้อสายอิตาเลียน ทำให้เขามีสัญชาติสองสัญชาติ คือบราซิลและอิตาเลียน เขาเติบโตขึ้นมาท่ามกลางการสนับสนุนจากครอบครัวอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะจากบิดาของเขาที่เป็นผู้ฝึกสอนให้ตั้งแต่อายุยังน้อย

           มาร์ติเนลลี่เริ่มเล่นฟุตซอลเมื่ออายุหกขวบ และเริ่มเล่นฟุตบอลสนามใหญ่ตอนอายุสิบขวบ ในช่วงนั้นมักเป็นมารดาของเขาที่พาไปซ้อมโดยการนั่งรถบัส ซึ่งใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งต่อเที่ยว

           โดย มาร์ติเนลลี่ เริ่มต้นเส้นทางนักฟุตบอลอาชีพกับสโมสรอิตูอาโน และเคยเข้าทดสอบฝีเท้ากับทั้งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และบาร์เซโลน่าอีกด้วย ก่อนจะย้ายไปร่วมทีมอาร์เซน่อลในเดือนกรกฎาคม ปี 2019 ด้วยค่าตัวที่รายงานว่าอยู่ที่ 6 ล้านปอนด์ เขาเป็นตัวแทนทีมชาติบราซิลในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2020 และคว้าเหรียญทองโอลิมปิกในประเภทฟุตบอลชายมาครองได้อีกด้วย จากนั้นเขาเปิดตัวในทีมชาติชุดใหญ่ในอีกสองปีต่อมา และลงเล่นในฟุตบอลโลก 2022 รวมถึงศึกโคปา อเมริกา 2024 อีกด้วย


อาร์เซน่อล :

           มาร์ติเนลลี่ เป็นที่สนใจของหลายสโมสร แต่เขาเลือกเซ็นสัญญาระยะยาวกับอาร์เซน่อลในวันที่ 2 กรกฎาคม 2019 ด้วยค่าตัวที่รายงานว่าอยู่ที่ 6 ล้านปอนด์ (ประมาณ 46.9 ล้านเรอัลบราซิล) ด้วยการที่เขามีพาสปอร์ตอิตาลี ทำให้ไม่ต้องผ่านข้อกำหนดเข้มงวดที่สโมสรอังกฤษต้องปฏิบัติเมื่อต้องการเซ็นนักเตะจากทวีปอเมริกาใต้

           เขาร่วมทัวร์ปรีซีซั่นกับทีมชุดใหญ่ของอาร์เซน่อลที่สหรัฐอเมริกา และยิงประตูได้ตั้งแต่นัดอุ่นเครื่องนัดแรกในเกมชนะโคโลราโด ราปิดส์ 3-0 เดิมทีเมื่อเซ็นสัญญา มาร์ติเนลลี่ถูกวางตัวให้ลงเล่นกับทีมชุดยู-21 เป็นหลัก แล้วค่อยๆ ถูกดึงขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ แต่ผลงานช่วงปรีซีซั่นและฟอร์มที่ดีในการซ้อมทำให้สโมสรเชื่อว่าเขาพร้อมสำหรับทีมชุดใหญ่ทันที

           มาร์ติเนลลี่ลงประเดิมสนามพรีเมียร์ลีกในวันที่ 11 สิงหาคม 2019 ในเกมชนะนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 1-0 โดยลงมาแทน เฮนริค มคิตาร์ยาน นาทีที่ 84 ต่อมาในวันที่ 24 กันยายน เขายิงสองประตูหลังจากที่ได้ออกสตาร์ตตัวจริงครั้งแรก ในเกมถล่มน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ 5-0 ในศึกคาราบาว คัพ ผลงานดังกล่าวทำให้อูไน เอเมรี กุนซือของสโมสรในขณะนั้นชื่นชมว่า

           "เขามีความกระหาย เขานอบน้อม และเขาสู้เพื่อทีม ผมบอกให้เขารอคอยโอกาส และเขาทำได้อย่างยอดเยี่ยม"

           ในวันที่ 4 ตุลาคม มาร์ติเนลลี่ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงครั้งที่สองในเกมยูโรป้า ลีก ที่ทีมเอาชนะสตองดาร์ ลีแอช 4-0 และยิงได้อีกสองประตู เขายังรักษาฟอร์มการทำประตูอย่างต่อเนื่อง โดยยิงประตูในเกมชนะวิตอเรีย กิมาไรช์ 3-2 เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม

           ในศึกคาราบาว คัพ รอบ 4 วันที่ 30 ตุลาคม เขายิงอีกสองประตูในเกมเสมอลิเวอร์พูล 5-5 และยังยิงจุดโทษของตัวเองเข้าในช่วงดวลจุดโทษอีกด้วย แม้ว่าสุดท้ายอาร์เซน่อลจะแพ้ แต่นั่นทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นคนแรกที่ยิงได้ 4 ประตู จากการลงเล่นเป็นตัวจริงสี่นัดแรกนับตั้งแต่เอียน ไรท์ อีกด้วย นอกจากนี้ เยอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลในตอนนั้นยังชื่นชมเขาว่าเป็น "พรสวรรค์แห่งศตวรรษ" อีกด้วย

           จากผลงานที่โดดเด่นทำให้เขาได้รับรางวัล "นักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนตุลาคมของอาร์เซน่อล" ด้วยคะแนนโหวตถึง 75% เหนือ มัตเตโอ เก็นดูซี่ และนิโกลาส์ เปเป้ หลังการแต่งตั้งเฟรดริก ลุงเบิร์กเป็นกุนซือชั่วคราว มาร์ติเนลลี่ได้ออกสตาร์ตเกมพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรก และยิงประตูได้ในเกมที่ทีมเอาชนะเวสต์แฮม ยูไนเต็ด 3-1

           ต่อมาวันที่ 21 มกราคม 2020 เขายิงหนึ่งประตูในเกมเสมอเชลซี 2-2 ทำให้เขากลายเป็นดาวรุ่งคนแรกที่ยิงถึงสองหลักในหนึ่งฤดูกาลให้กับอาร์เซน่อล นับตั้งแต่นิโกลาส์ อเนลก้า โดยประตูนั้นเกิดจากจังหวะเก็บบอลจากการสกัดลูกเตะมุมหน้าเขตโทษอาร์เซน่อล แล้วเลี้ยงเดี่ยวตั้งแต่แดนตัวเอง ก่อนยิงผ่านเกปา อาร์ริซาบาลากา ประตูนี้ได้รับการโหวตให้เป็น “ประตูยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของอาร์เซน่อล”

           ในวันที่ 3 กรกฎาคม มาร์ติเนลลี่เซ็นสัญญาใหม่ 4 ปี พร้อมออปชั่นขยายสัญญาเพิ่มถึงปี 2025 ไม่นานหลังจากนั้น เขาต้องพักยาวจนจบปี 2020 เนื่องจากเข้ารับการผ่าตัดรักษาอาการบาดเจ็บที่กระดูกอ่อนบริเวณหัวเข่า ซึ่งเกิดจากการฝึกซ้อมเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน


ปี 2020–2022:

           มาร์ติเนลลี่ ได้กลับมาลงสนามในวันที่ 19 ธันวาคม โดยลงมาเป็นตัวสำรองและเล่น 19 นาที ในเกมที่บุกแพ้เอฟเวอร์ตัน 1-2 หลังจากนั้นในช่วงวอร์มอัปก่อนเกมเอฟเอ คัพ กับ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2021 เขาได้รับบาดเจ็บข้อเท้าเล็กน้อย และถูกเปลี่ยนออกจากรายชื่อผู้เล่นตัวจริงให้ รีสส์ เนลสัน ลงเล่นแทน

           มาร์ติเนลลี่กลับมาลงเล่นในเกมยุโรปอีกครั้งเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ โดยลงมาเป็นตัวสำรองช่วงท้ายเกม 13 นาทีในผลเสมอ 1-1 กับเบนฟิก้า นอกจากนี้เขายังยิงประตูแรกของฤดูกาลได้ในเกมบุกชนะเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 3-0 อีกด้วย

           ก่อนหน้านี้เขามักเล่นในตำแหน่งกองหน้าตัวกลางแบบเบอร์ 9 คลาสสิก แต่ภายใต้การทำทีมของ มิเกล อาร์เตต้า มาร์ติเนลลี่ถูกขัดเกลาให้ขยับไปเล่นทางปีกซ้ายมากขึ้น ซึ่งเปิดโอกาสให้เขาตัดเข้าในด้วยเท้าขวาที่ถนัด และใช้การเลี้ยงบอลที่รวดเร็วเพื่อกดดันกองหลังคู่แข่ง

           มาร์ติเนลลี่ พลาดการลงเล่นช่วงปรีซีซั่น เนื่องจากถูกเรียกติดทีมชาติบราซิลชุดลุยโอลิมปิกซึ่งเขาคว้าเหรียญทองกลับมาได้ เขายิงประตูแรกของฤดูกาล 2021–22 ได้จากจังหวะวอลเลย์ด้วยการสัมผัสบอลครั้งที่สองของเกม ในนัดพบกับนิวคาสเซิล ยูไนเต็ดเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ประตูนี้ถูกจัดอันดับเป็นประตูยอดเยี่ยมอันดับ 3 ของสโมสรในผลโหวตตอนสิ้นฤดูกาล

           ในวันที่ 18 ธันวาคม เขายิงสองประตูใส่ลีดส์ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาทำสองประตูในพรีเมียร์ลีกอีกด้วย โดยประตูแรกของเขายังเป็นประตูที่ 7,000 ของอาร์เซน่อลในฟุตบอลลีกสูงสุดของอังกฤษอีกด้วย

           ต่อมาในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2022 มาร์ติเนลลีถูกไล่ออกหลังได้รับใบเหลืองสองใบในเวลาเพียง 4 วินาที ในเกมพบวูล์ฟส์ ซึ่งเป็นใบแดงแรกในอาชีพของเขา การตัดสินครั้งนี้ก่อให้เกิดข้อถกเถียง เพราะกรรมการแจกใบเหลืองทั้งสองใบในชั่วจังหวะเดียว เริ่มจากการผลัก ดาเนียล โพเดนซ์ ระหว่างทุ่มบอล และต่อด้วยการทำฟาวล์ใส่ เนลสัน เซเมโด

           ก่อนจบฤดูกาล 2021–22 สโมสรได้มอบเสื้อหมายเลข 11 ให้มาร์ติเนลลี่ เตรียมไว้สำหรับการย้ายออกของลูกัส ตอร์เรย์ราไปกาลาตาซารายในช่วงตลาดซัมเมอร์ ส่วนหมายเลขเดิมของเขา คือเบอร์ 35 ถูก อเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ รับช่วงต่อหลังย้ายมาร่วมทีม


           เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2022 มาร์ติเนลลียิงประตูให้อาร์เซน่อลในเกมที่ทีมบุกชนะคริสตัล พาเลซ 2-0 ทำให้เขากลายเป็นนักเตะบราซิลคนแรกที่ยิงประตูเปิดหัวฤดูกาลของศึกพรีเมียร์ลีกได้ และต่อมาในวันที่ 31 สิงหาคม มาร์ติเนลลี่ยิงประตูชัยในนาทีที่ 77 เกมเปิดบ้านพบกับแอสตัน วิลลา ส่งผลให้อาร์เซน่อลเก็บชัยชนะ 5 นัดรวดจาก 5 เกมแรกของฤดูกาล

           ต่อมาวันที่ 1 ตุลาคม มาร์ติเนลลี่ทำแอสซิสต์ให้กรานิต ชาก้า ในเกมที่อาร์เซน่อลเอาชนะคู่ปรับร่วมลอนดอนเหนืออย่างท็อตแนม ฮอตสเปอร์ 3-1



           หนึ่งสัปดาห์ถัดมา วันที่ 9 ตุลาคม เขายิงประตูขึ้นนำตั้งแต่วินาทีที่ 58 ในเกมเปิดบ้านพบลิเวอร์พูล ซึ่งอาร์เซน่อลชนะไป 3-2 และเขาได้รับรางวัลแมนออฟเดอะแมตช์จากฟอร์มอันยอดเยี่ยมในเกมนี้ ต่อมา
ในวันบ็อกซิงเดย์ มาร์ติเนลลี่ยังยิงประตูได้ในเกมพรีเมียร์ลีกนัดแรกของอาร์เซน่อลหลังจบฟุตบอลโลก 2022 โดยทีมเอาชนะเวสต์แฮม ไป 3-1

           เมื่อจบฤดูกาล มาร์ติเนลลี่ยิงไป 15 ประตู และทำ 6 แอสซิสต์รวมทุกรายการ กลายเป็นดาวซัลโวร่วมของสโมสรในฤดูกาลนั้นเคียงข้างมาร์ติน โอเดการ์ด และจบอันดับ 3 ในการโหวตนักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของอาร์เซน่อล นอกจากนี้เขายังทำสถิติเป็นนักเตะบราซิลที่ยิงประตูมากที่สุดในฤดูกาลเดียวของพรีเมียร์ลีก เท่ากับสถิติของโรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ที่ทำไว้กับลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2017–18

           ในเกมพรีเมียร์ลีกนัดเปิดฤดูกาล 2023–24 ของอาร์เซน่อล มาร์ติเนลลี่ทำแอสซิสต์ให้เอดดี้ เอ็นเคเทียห์ หลังโชว์หมุนตัวผ่าน เซิร์จ ออริเยร์ และ ดานิโล โอลิเวรา เกมนั้นอาร์เซน่อลชนะน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 2-1 ต่อมาในวันที่ 3 กันยายน เขาจ่ายบอลให้มาร์ติน โอเดการ์ดยิงตีเสมอแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพียง 35 วินาทีหลังจากที่ทีมถูกนำก่อน 1–0 แต่ทว่าท้ายที่สุดอาร์เซน่อลชนะ 3–1

           วันที่ 8 ตุลาคม มาร์ติเนลลี่ลงมาเป็นตัวสำรองและยิงประตูชัยในเกมบิ๊กแมตช์ที่อาร์เซน่อลเปิดบ้านเอาชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1–0 โดยลูกยิงของเขาแฉลบ เนธาน อาเก้ เข้าประตู ซึ่งเป็นชัยชนะในลีกเหนือแมนฯ ซิตี้ครั้งแรกของอาร์เซน่อลนับตั้งแต่ปี 2015

           วันที่ 24 ตุลาคม เขาลงเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกเป็นครั้งแรก พร้อมยิงประตูเปิดหัวในเกมที่ทีมบุกชนะเซบีย่า 2-1 วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2024 มาร์ติเนลลี่ยิงหนึ่งประตูในเกมที่อาร์เซน่อลชนะลิเวอร์พูล 3-1 โดยอาศัยความผิดพลาดจากแนวรับของลิเวอร์พูล

 

เส้นทางทีมชาติ :

           ด้วยความที่ มาร์ติเนลลี่ เกิดที่ประเทศบราซิล และมีเชื้อสายอิตาลีทางฝั่งพ่อ — เขามีสัญชาติสองประเทศ คือ บราซิล และอิตาลี ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2019 มาร์ติเนลลี่ได้รับการเรียกตัวจากกุนซือทีมชาติบราซิลในขณะนั้นคือ ติเต้ ให้เข้าร่วมการฝึกซ้อมเตรียมทีมสำหรับศึก โคปา อเมริกา 2019

           ในเดือนพฤศจิกายน 2019 เขาได้ลงเล่นให้กับทีมชาติบราซิลชุดอายุไม่เกิน 23 ปี ในการแข่งขัน United International Football Festival ที่ประเทศสเปน


           วันที่ 2 กรกฎาคม 2021 มาร์ติเนลลีถูกเลือกติดทีมชุดสู้ศึก โอลิมปิก เกมส์ ให้กับบราซิล แล้วในวันที่ 3 สิงหาคม เขายิงจุดโทษลูกที่สองให้บราซิลในรอบรองชนะเลิศกับเม็กซิโก จากนั้นบราซิลก็ชนะในนัดชิงชนะเลิศเหนือสเปน ส่งผลให้ มาร์ติเนลลี่ ได้รับเหรียญทองโอลิมปิกไปครองอีกด้วย

           ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2022 เขาได้รับการเรียกติดทีมชุดสำหรับศึก ฟุตบอลโลก 2022 และได้ประเดิมเล่นในฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรกในชีวิต โดยลงสนามเป็นตัวสำรองแทน ราฟินญ่า ในนาทีที่ 87 ของเกมที่บราซิลชนะเซอร์เบีย 2-0 ในเกมนัดเปิดสนาม แต่ในเกมถัดๆ มา เขาเป็นตัวสำรองโดยไม่มีโอกาสลงเล่นในเกมที่บราซิลชนะสวิตเซอร์แลนด์ 1-0

           และได้ลงเล่นครบ 90 นาทีเป็นครั้งแรกในเกมที่บราซิลแพ้แคเมอรูน 0-1 ต่อมาในรอบ 16 ทีมสุดท้าย บราซิลชนะเกาหลีใต้ 4-1 โดยมาร์ติเนลลี่ถูกส่งลงสนามแทน วินิซิอุส จูเนียร์ ในนาทีที่ 72 จากนั้นในรอบก่อนรองชนะเลิศกับโครเอเชีย เขาเป็นตัวสำรองที่ไม่ได้ลงสนาม เมื่อบราซิลตกรอบหลังแพ้จุดโทษ 4-2 หลังเสมอในเวลา 90 นาที 1-1

           ในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2023 มาร์ติเนลลี่ยิงประตูแรกให้กับทีมชาติบราซิลได้สำเร็จ ในศึกคัดเลือกฟุตบอลโลก 2026 แต่ที่น่าเสียดายเพราะเกมดังกล่าว บราซิล เป็นฝ่ายแพ้โคลอมเบียไป 1-2


สไตล์การเล่น :

           สไตล์การเล่นของกาเบรียล มาร์ติเนลลี่ คือสไตล์ปีกชาวบราซิลที่มีความไดนามิก ระเบิดพลัง และเต็มไปด้วยความเร็ว ความคล่องตัว และทักษะการเลี้ยงบอล เขามักจะตัดเข้าในเพื่อยิงหรือสร้างสรรค์เกม แต่จะโดดเด่นเป็นพิเศษในจังหวะเปลี่ยนจากรับเป็นรุกมากกว่าสถานการณ์ต่อบอลจากพื้นที่ลึก เขาใช้การเร่งสปีดสั้นๆ และการเคลื่อนที่อันชาญฉลาดในกรอบเขตโทษเพื่อทำประตู อย่างไรก็ตาม เขาก็เคยถูกวิจารณ์ในเรื่องความสม่ำเสมอ และมักเจอปัญหาเวลาเจอคู่แข่งที่ตั้งรับลึกแบบ "โลว์บล็อก" ในระบบการเล่นที่คุมเกมมากขึ้น

ADS