ประวัติ เปโดร ปอร์โร่ แบ็คจอมลุยของไก่เดือยทอง
ชื่อเต็ม : เปโดร อันโตนิโอ ปอร์โร ซาอูเซดา (Pedro Antonio Porro Sauceda)
วัน/เดือน/ปีเกิด : 13 กันยายน ปีค.ศ. 1999
ส่วนสูง : 1.73 ซม.
ตำแหน่ง : แบ็กขวา, วิงแบ็กขวา
สโมสรปัจจุบัน : สเปอร์ส
เปโดร ปอร์โร เป็นนักฟุตบอลอาชีพชาวสเปน ปัจจุบันเล่นในตำแหน่งแบ็กขวาให้กับ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ทีมดังในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ และเป็นสมาชิกทีมชาติสเปนชุดใหญ่อีกด้วยปอร์โรเริ่มต้นเส้นทางลูกหนังกับทีมสำรองของกิโรนาอย่าง เปราลาดา ก่อนจะถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในปี 2017 ด้วยฟอร์มที่โดดเด่นทำให้ในปี 2019 เขาได้ย้ายไปอยู่กับยักษ์ใหญ่พรีเมียร์ลีกอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยค่าตัวราว 13 ล้านยูโร อย่างไรก็ตาม เขายังไม่ได้ลงสนามให้ทีม "เรือใบสีฟ้า" โดยตรงแต่ถูกปล่อยยืมตัวไปเก็บประสบการณ์กับ เรอัล บายาโดลิด ในลาลีกา และต่อด้วย สปอร์ติ้ง ลิสบอน ในลีกโปรตุเกส
ช่วงเวลาที่สปอร์ติ้งถือเป็นจุดพีคของปอร์โร เขามีส่วนสำคัญพาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ ทั้งลีกโปรตุเกส (Primeira Liga) และบอลถ้วย โปรตุเกส ลีก คัพ แถมยังถูกเลือกติด ทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของลีกอีกด้วย ก่อนที่สปอร์ติ้งจะตัดสินใจซื้อขาดหลังจบฤดูกาลที่สอง
ในนามทีมชาติ ปอร์โรติดทีมชาติสเปนชุดอายุไม่เกิน 21 ปี ครั้งแรกในเดือนมีนาคม 2019 ตอนอายุเพียง 19 ปี ก่อนจะประเดิมสนามให้ทีมชาติชุดใหญ่ในปี 2021 และมีชื่ออยู่ในชุดลุยศึก ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก รอบสุดท้าย ปี 2021 ที่อิตาลี ซึ่งสเปนคว้ารองแชมป์มาครอง
ช่วงเริ่มต้นอาชีพ :
ปอร์โรเกิดที่เมือง ดอน เบนิโต แคว้นเอกซ์เตรมาดูรา เขาเริ่มเล่นฟุตบอลกับทีมท้องถิ่นอย่าง กิมนาสติโก เด ดอน เบนิโต และ ราโย บาเยกาโน ก่อนจะย้ายมาร่วมทีม กิโรนา เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2017 ที่น่าสนใจคือก่อนจะเลือกกิโรนา เขาเคยปฏิเสธข้อเสนอจากทีมยักษ์ใหญ่อย่าง เรอัล มาดริด, แอตเลติโก มาดริด และบาเยิร์น มิวนิก มาแล้ว
เส้นทางกับกิโรนา :
วันที่ 28 พฤศจิกายน 2017 ทั้งที่ยังไม่ทันได้ลงเล่นให้ทีมสำรอง ปอร์โร ก็ได้โอกาสประเดิมสนามกับทีมชุดใหญ่ทันที โดยถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองช่วงท้ายเกม แทนที่ โยฮัน โมฮิกา ในเกมโกปา เดล เรย์ ที่dbโรนาเสมอกับเลบันเต้ 1-1 จากนั้นอีก 5 วันต่อมา เขาจึงได้ลงเล่นให้ทีมสำรองเป็นครั้งแรก ในศึกเซกุนดา ดิวิซิออน เบ
วันที่ 6 พฤษภาคม 2018 ปอร์โรยิงประตูระดับอาชีพครั้งแรกได้อย่างสวยงาม แถมกดไปสองประตู พาทีมบุกชนะบียาร์เรอัล เบ 3-0 จากนั้นในเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน เขาต่อสัญญากับทีมถึงปี 2022 และถูกจับไปเล่นในตำแหน่งแบ็กขวาอย่างจริงจังในช่วงปรีซีซัน
เขาลงเล่นในลาลีกานัดแรกเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2018 โดยได้ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงในตำแหน่งแบ็กขวา เกมเสมอเรอัล บายาโดลิด 0-0 และวันถัดมาก็ได้รับการต่อสัญญาเพิ่มออกไปอีกหนึ่งปี
ภายใต้การคุมทีมของ ยูเซบิโอ ซาคริสตาน ปอร์โรก้าวขึ้นมาเป็นตัวจริงถาวรเบียดเอาชนะอาเดย์ เบนิเตซ และเข้ามาแทนที่ปาโบล มาฟเฟโอที่ย้ายทีมไป
ประตูอาชีพแรกในระดับสูงของเขาเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2019 แม้จะเป็นเกมที่กิโรนาพ่ายเรอัล มาดริด 1-3 ในบอลถ้วย แต่ประตูนั้นก็เป็นประตูเดียวของทีมในเกมดังกล่าว
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ :ในวันที่ 8 สิงหาคม 2019 เปโดร ปอร์โร ย้ายไปร่วมทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อย่างเป็นทางการ ด้วยค่าตัวประมาณ 11 ล้านปอนด์ นับเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญของแบ็กขวาดาวรุ่งชาวสเปนรายนี้จริงๆ ที่ได้เซ็นสัญญากับหนึ่งในสโมสรระดับท็อปของยุโรป
ยืมตัวกับเรอัล บายาโดลิด :อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เซ็นสัญญากับทัพ "เรือใบสีฟ้า" ปอร์โรก็ถูกปล่อยยืมตัวไปเล่นให้ เรอัล บายาโดลิด ในศึกลา ลีกา สเปน เป็นระยะเวลา 1 ฤดูกาล เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในลีกสูงสุดของสเปน โดยในสัญญายืมตัวครั้งนี้ บายาโดลิด มีออปชันซื้อขาด แต่หลังจากที่ปอร์โรลงสนามในลีกไปทั้งหมด 13 นัด และมีส่วนช่วยให้ทีมจบอันดับ 13 ของตาราง สโมสรตัดสินใจไม่ใช้ออปชันซื้อขาด ทำให้เขาต้องกลับไปอยู่ในความดูแลของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ หลังจบฤดูกาล
สปอร์ติ้ง ลิสบอน :วันที่ 16 สิงหาคม 2020 เปโดร ปอร์โร ย้ายมาร่วมทีม สปอร์ติง ลิสบอน ด้วยสัญญายืมตัวจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นเวลา 2 ฤดูกาล จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2022 พร้อมออปชันซื้อขาดที่ 8.5 ล้านยูโร
เขาประเดิมสนามให้กับ ทัพ“สิงโตลิสบอน” เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2020 ในเกมยูฟ่า ยูโรป้า ลีก รอบคัดเลือกที่สปอร์ติ้งเปิดบ้านเฉือนเอาชนะ อเบอร์ดีน 1-0 แม้จะเดินทางมาลิสบอนด้วยวัยยังน้อยและถูกจับตามองพอสมควร แต่ปอร์โรก็ใช้ผลงานในสนามลบคำกังขาทั้งหมด ก้าวขึ้นมาเป็น ตัวจริงฝั่งขวาของแนวรับทันที โดยลงเล่นเกมลีกนัดแรกในเกมที่บุกชนะ ปากอส เด แฟร์เรรา 2-0
จากนั้นวันที่ 1 พฤศจิกายน เขายิงประตูแรกในสีเสื้อสปอร์ติ้งได้สำเร็จ ในเกมถล่ม ตอนเดลา 4-0 จากฟอร์มที่สม่ำเสมอและโดดเด่น ทำให้ปอร์โรคว้ารางวัล กองหลังยอดเยี่ยมประจำเดือนของลีกโปรตุเกส ได้ติดต่อกันถึง 3 เดือนรวด ตั้งแต่พฤศจิกายน 2020 ถึงมกราคม 2021
วันที่ 23 มกราคม 2021 ปอร์โรกลายเป็นฮีโร่ยิงประตูชัยเพียงลูกเดียวพาทีมเอาชนะ บราก้า คว้าแชมป์ โปรตุเกส ลีก คัพ มาครองได้สำเร็จ ถัดมาอีกเพียงสามวัน เขากดประตูสุดสวยนอกกรอบเขตโทษในเกมบุกชนะ เบาวิสต้า 2-0 ซึ่งประตูดังกล่าวได้รับการโหวตให้เป็นประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนของลีกอีกด้วย โดยในฤดูกาลนั้น ปอร์โรลงเล่นไปถึง 30 นัด มีส่วนสำคัญพาสปอร์ติ้งคว้าแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 19 ปี และยังมีชื่อติด ทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของลีก อีกด้วย
ฟอร์มแรงต่อเนื่องในฤดูกาลถัดมา :เปิดฤดูกาลใหม่ ปอร์โรยังคงโชว์ฟอร์มร้อนแรงไม่หยุด เขาทำแอสซิสต์ให้ นูโน ซานโตส ในเกมเสมอคู่ปรับอย่าง ปอร์โต 1-1 จากนั้นยังซัดสองประตูจากจุดโทษ ในสองเกมลีกติดต่อกัน พาทีมชนะ เอสโตริล และ มาริติโม แบบหวุดหวิด 1-0 ทั้งสองนัด ส่งผลให้เขาคว้ารางวัล กองหลังยอดเยี่ยมประจำเดือน อีกครั้งในเดือนสิงหาคมและกันยายน
วันที่ 24 พฤศจิกายน 2021 ปอร์โรยิงประตูที่สามในเกมเปิดบ้านชนะ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 3-1 ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม จากจังหวะซ้ำลูกจุดโทษ ช่วยให้สปอร์ติ้งผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายของรายการนี้ได้เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ฤดูกาล 2008–09
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน เขาต้องเจอปัญหา อาการบาดเจ็บแฮมสตริงเรื้อรัง ทำให้พลาดการลงสนามไปนานถึงสองเดือน จากนั้น ปอร์โร กลับมาลงสนามอีกครั้งเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2022 และสร้างอิมแพ็กต์ทันที ด้วยแอสซิสต์สำคัญให้ ปาโบล ซาราเบีย ช่วยให้ทีมพลิกแซงชนะ เบนฟิกา 2-1 ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วย โปรตุเกส ลีก คัพ
วันที่ 16 พฤษภาคม 2022 สปอร์ติ้งตัดสินใจใช้ออปชันซื้อขาด เปโดร ปอร์โร ด้วยค่าตัว 8.5 ล้านยูโร พร้อมเซ็นสัญญาถาวร 3 ปี โดยมีเงื่อนไขซื้อกลับมูลค่า 20 ล้านยูโร ในฤดูกาลต่อมา ปอร์โรยังเป็นกำลังหลักของทีม ช่วยให้สปอร์ติ้งคว้ารองแชมป์ลีก โดยทำผลงานได้ยอดเยี่ยม ยิงไป 5 ประตู และทำ 7 แอสซิสต์ พร้อมมีชื่อติด ทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของลีก เป็นฤดูกาลที่สองติดต่อกัน
ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ :วันที่ 31 มกราคม 2023 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของตลาดซื้อขายนักเตะฤดูหนาว ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ประกาศคว้าตัว เปโดร ปอร์โร มาจากสปอร์ติ้ง ลิสบอน ด้วยสัญญายืมตัว โดยจ่ายค่ายืม 5 ล้านยูโร พร้อมเงื่อนไข บังคับซื้อขาดในช่วงซัมเมอร์ ด้วยมูลค่า 40 ล้านยูโร นอกจากนี้ สปอร์ติ้งยังได้รับ 15% ของสิทธิ์ทางเศรษฐกิจของมาร์คัส เอ็ดเวิร์ดส์ เป็นส่วนหนึ่งของดีลอีกด้วย
ปอร์โร ลงประเดิมสนามให้สเปอร์สเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2023 ในเกมลีกที่แพ้ เลสเตอร์ ซิตี้ 1-4 โดยได้ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงทันที อย่างไรก็ตามฟอร์มในเกมแรกทำให้เขาโดนวิจารณ์อย่างหนัก โดย ทิม เชอร์วูด อดีตกุนซือสเปอร์ส ถึงกับออกปากว่าเขาเล่นได้ “แย่จนน่าเหลือเชื่อ”
แต่ปอร์โรไม่ปล่อยให้เสียงวิจารณ์ฉุดรั้งตัวเอง เขายิงประตูแรกในสีเสื้อไก่เดือยทองได้สำเร็จ ในวันที่ 18 มีนาคม 2023 ในเกมบุกเสมอ เซาท์แฮมป์ตัน สุดมัน 3-3 ก่อนจะค่อยๆ ยกระดับฟอร์มการเล่นขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากนักเตะที่ถูกตั้งคำถาม กลายเป็นหนึ่งใน แบ็กขวาที่โดดเด่นที่สุดของพรีเมียร์ลีก ในเวลาต่อมา
วันที่ 5 มกราคม 2024 ปอร์โรกลายเป็นฮีโร่อีกครั้ง เมื่อยิงประตูชัยเพียงลูกเดียว พาสเปอร์สเฉือนชนะ เบิร์นลีย์ 1-0 ในศึกเอฟเอ คัพ รอบสาม
ช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดของเขากับสโมสรเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2025 ปอร์โรยิงประตูปิดกล่องในเกมยูฟ่า ยูโรป้า ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดที่สอง ที่สเปอร์สเปิดบ้านชนะ โบโด กลิมท์ 2-0 รวมผลสองนัด สเปอร์สชนะขาดลอย 5-1 ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ และสุดท้ายสามารถคว้าแชมป์รายการนี้มาครองได้สำเร็จด้วยชัยชนะ 1-0
จากผลงานอันยอดเยี่ยมตลอดทัวร์นาเมนต์ ปอร์โรได้รับเลือกให้ติด ทีมยอดเยี่ยมยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ประจำฤดูกาล ตอกย้ำสถานะของเขาในฐานะแบ็กขวาระดับท็อปของยุโรป
เส้นทางทีมชาติสเปน :
เดือนมีนาคม ปี 2019 เปโดร ปอร์โร ถูกเรียกติด ทีมชาติสเปน รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี เป็นครั้งแรก และได้ประเดิมสนามทันทีเมื่อวันที่ 29 มีนาคม ในเกมอุ่นเครื่องที่สเปนเฉือนชนะ โรมาเนีย 1-0 และฟอร์มการเล่นที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในเดือนมีนาคม 2021 เขาได้รับโอกาสก้าวสู่เวทีที่ใหญ่ขึ้น เมื่อถูกเรียกติด ทีมชาติสเปนชุดใหญ่ สำหรับศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนยุโรปปอร์โรลงสนามให้ทัพ “กระทิงดุ” นัดแรกเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2021 และเปิดตัวได้อย่างน่าประทับใจ ด้วยการเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่บุกเอาชนะ จอร์เจีย 2-1 นับเป็นอีกก้าวสำคัญในเส้นทางค้าแข้งของแบ็กขวาผู้นี้
สไตล์การเล่น :เปโดร ปอร์โร เป็นแบ็กขวาหรือวิงแบ็กสายบุกเต็มตัวของ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ จุดเด่นอยู่ที่การเปิดบอลที่แม่นยำ การวางบอลยาวจากแดนหลัง และความสามารถในการสร้างโอกาสจากพื้นที่ริมเส้น รวมถึงการขยับเข้ามาเล่นด้านในแบบ inverted เพื่อเชื่อมเกมรุก
เขาเป็นนักเตะที่เล่นด้วยพลังงานสูง มีความคิดแบบวิงแบ็กแท้ ๆ พร้อมเติมเกมรุกขึ้นไปกดดันแนวรับคู่แข่งตลอดเวลา ขณะเดียวกัน ปอร์โรก็ไม่ได้เด่นแค่เกมรุกเท่านั้น เพราะยังมีสถิติการเล่นเกมรับในปริมาณสูง ทั้งการเข้าปะทะ การบล็อกบอล และการช่วยตัดเกม ทำให้เขาเป็นฟูลแบ็กสมัยใหม่ที่ครบเครื่องทั้งสองด้านของสนาม











