ประวัติ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์

| 01/01/1970 07:00 น. | 1476 Views

 

 

โรเจอร์ เฟเดอเรอร์

ข้อมูลส่วนตัว  

ชื่อ : โรเจอร์ เฟเดอเรอร์
ที่อยู่ : วอลเลรัว, สวิตเซอร์แลนด์
วันเกิด : 8 สิงหาคม 1981 (อายุ 26)
สถานที่เกิด : บาเซิ่ล, สวิตเซอร์แลนด์
ส่วนสูง : 1.86 เมตร (6 ฟุต 1 นิ้ว)
น้ำหนัก : 88 กิโลกรัม (194 ปอนด์)
เทิร์นโปร : 1998
ถนัด : แขนขวา, แบ็กแฮนด์มือเดียว
เงินรางวัลสะสม : $41,721,169

ประวัติความเป็นมา

       โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ (Roger Federer) เกิด 8 สิงหาคม 1981 เป็นนักเทนนิสอาชีพ ชาวสวิสมือวางอันดับ 1 ของโลกคนปัจจุบัน โดยขึ้นครองอันดับมาตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2004 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นสถิติการครองอันดับ 1 ติดต่อกันยาวนานที่สุด เป็นเวลา 233 สัปดาห์ 

       เป็นที่ยอมรับกันว่า เฟเดอเรอร์ เป็นนักเทนนิส ที่เก่งที่สุด ในยุคของเขา เฟเดอเรอร์ เห็นได้จากผลงานการกวาดแชมป์เป็นกอบเป็นกำในการเล่นอาชีพของเขา โดย เฟเดอเรอร์ คว้าแชมป์แกรนด์ สแลม ประเภทชายเดี่ยว มาแล้วทั้งสิ้น 12 ครั้ง (ออสเตรเลี่ยน โอเพ่น 3 ครั้ง, วิมเบิลดัน 5 ครั้ง. ยูเอส โอเพ่น 4 ครั้ง), แชมป์เทนนิส มาสเตอร์ คัพ 4 ครั้ง และ แชมป์เอทีพี มาสเตอร์ ซีรี่ย์ 14 ครั้ง และยังไม่รวมถึงทัวร์นาเม้นต์เอทีพีทัวร์ อีกกว่า 25 ครั้ง

       ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมต่อเนื่องกันนี้  จึงทำให้ เฟเดอเรอร์ ถูกจัดอยู่เป็น 1 ใน นักเทนนิสชาย ที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ และเขายังเป็นนักกีฬาคนแรกที่ได้ รางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมของโลกแห่งปี (Laureus World Sportsman of the Year) 4 สมัยติดต่อกัน (2005-2008) ยิ่งไปกว่านั้น เฟเดอเรอร์ ยังถือเป็นชาวสวิสคนแรกที่ยังมีชีวิตอยู่ ที่มีรูปอยู่ในสแตมป์ของสวิส ซึ่งถูกผลิตในเดือน เมษายน 2007 เป็นรูปเฟเดอเรอร์ กับถ้วยวิมเบิลดัน  อีกด้วย

 

เริ่มต้นอาชีพนักเทนนิส

เริ่มต้นชีวิต

       เฟเดอเรอร์ เกิดที่เมือง เบเซิล ในสวิตเซอร์แลนด์  เป็นลูกของ โรเบิร์ต เฟเดอเรอร์ เชื้อสายสวิส-เยอรมัน และ ลินเนตต์ เฟเดอเรอร์ เชื้อสายอัฟริกาใต้ เขาเติบโตในแถบชานเมือง Münchenstein ซึ่งห่างจากเบเซิ่ล, ชายแดนฝรั่งเศส และชายแดนเยอรมนี ไป 10 นาที ตอนยังเด็ก เฟเดอเรอร์ เป็นคนที่อารมณ์ร้อน จนถูกไล่ออกจากสนามซ้อม เป็นบางครั้ง

      เฟเดอเรอร์ ยังชื่นชอบในเกมฟุตบอล และมีแววเป็นนักฟุตบอลฝีเท้าดีอีกด้วย ซึ่งเขาก็เคยคิดจะเป็น นักฟุตบอลอาชีพ แต่ตัดสินใจเลือกเทนนิสแทน เขายังคงติดตามผลงาน ของทีมฟุตบอลเอฟซี เบเซิ่ล ทีมประจำบ้านเกิดของเขา และเป็นแฟนบอลของทีมอิตาลี เอเอส โรม่า ตอนเด็ก เฟเดอเรอร์ ชอบไปดู มาร์เซโล ริออส เล่นที่สนามแข่ง  เฟเดอเรอร์ เคยบอกว่าเป็นแฟนตัวจริงของ สเตฟาน เอ็ดเบิร์ก, โบริส เบคเกอร์ และ มาร์เซโล ริออส

เล่นเทนนิสระดับเยาวชน

       เฟเดอเรอร์ เริ่มเล่นเทนนิสเมื่ออายุ 6 ปี แต่เริ่มเล่นจริงๆ จังๆ เมื่ออายุประมาณ 9 ปี จนกระทั่งเมื่ออายุ 14 ปี เฟเดอเรอร์ ก็ถูกเลือกให้เข้ารับการฝึกฝนในสถาบันสอนเทนนิสชื่อดังอย่าง “Swiss National Tennis Center“ ที่ อีคูเบลนส์  หลังจากที่เขาสามารถคว้าแชมป์ระดับประเทศของตนเองได้ และในที่สุด เฟเดอเรอร์ ก็ได้เข้าร่วมในการแข่งขันในรายการ ไอทีเอฟ ระดับจูเนียร์ เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 1996 และ เฟเดอเรอร์ ก็สร้างชื่อให้กับตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการคว้าแชมป์วิมเบิลดัน จูเนียร์ ได้สำเร็จ ในปี 1998 ซึ่งถือเป็นรายการสุดท้าย ก่อนที่เขาจะเทิร์นโปรในทัวร์นาเม้นต์ ถัดมา

เล่นเทนนิสอาชีพเอทีพี

1998-2000 : ช่วงเริ่มต้น

       เฟเดอเรอร์ ก้าวสู่สังเวียนนักเทนนิสอาชีพในเดือน กรกฎาคม ปี 1998 และกลายเป็นนักเทนนิสที่อายุน้อยที่สุดที่มีอันดับติดท็อป 100 ของเอทีพีทัวร์ (ในปีนั้น) แถมเขายังมีส่วนร่วมเป็นสมาชิกเทนนิสสวิตเซอร์แลนด์ ทำศึก เดวิส คัพ กับ อิตาลี อีกด้วย ต่อไปในปี 2000 เฟเดอเรอร์ ก็สามารถผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศในศึก โอลิมปิก เกมส์ ที่ซิดนี่ย์ ได้สำเร็จ แต่ก็พลาดคว้าเหรียญทองแดงไป หลังจากพ่ายให้กับ อาร์โนลด์ ดิ ปาสกาล นักเทนนิสชาวฝรั่งเศส นอกจากนี้ เขายังทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศได้ถึง 2 รายการ แต่ก็ทำได้ดีแค่รองแชมป์เท่านั้น ขณะที่ในรายการใหญ่ๆ อย่าง  แกรนด์ สแลมด์ และ มาสเตอร์ ซีรี่ย์ เฟเดอเรอร์ ยังคงทำผลงานไม่น่าประทับใจนัก  และเขาก็ปิดฉากฤดูกาลแข่งขันในปีนี้ที่อันดับ 29 ของโลก

2001-2003 : แจ้งเกิดในวงการเทนนิส

        หลังจากเทิร์นโปรมาเป็นเวลา 2 ปี ในที่สุด เฟเดอเรอร์ ก็สามารถคว้าแชมป์เทนนิสอาชีพครั้งแรกให้กับตัวเองได้สำเร็จ ในรายการที่ มิลาน ในปี 2001 และในเดือนเดียวกันนี้ เขาก็ยังมีส่วนช่วย ให้สวิตเซอร์แลนด์ เอาชนะ สหรัฐฯ มาได้ 3-2 ในศึกเดวิส คัพ  นอกจากนี้ เฟเดอเรอร์ ยังสามารถแจ้งเกิดให้กับตัวเองได้อย่างงดงาม ด้วยการผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศในศึก วิมเบิลดัน ได้สำเร็จ หลังจากพลิกล็อคเอาชนะ พีท แซมพราส อดีตนักเทนนิสชื่อดังชาวสหรัฐฯ และแชมป์รายการนี้ 7 สมัย มาได้ในรอบที่ 4 ส่งผลให้อันดับของ เฟเดอเรอร์ พุ่งขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 13 ของโลกในปีนั้น

       ในปี 2002 เฟเดอเรอร์ สามารถทะลุเข้าถึงนัดชิงชนะเลิศในศึก เอทีพี มาสเตอร์ ซีรี่ย์ ได้เป็นครั้งแรก แต่ก็ต้องเป็นฝ่ายพ่ายให้กับ อังเดร อกัสซี่ ยอดนักหวดชาวสหรัฐฯ ไปตามคาด แต่เขาก็กลับมาคว้าแชมป์ในรายการที่ ฮัมบูร์ก ได้สำเร็จ รวมถึงเอาชนะได้ในเกมเดวิส คัพ ทั้งสองนัดของเขา ในการพบกับ มารัต ซาฟิน และ เยฟกินี่ คาเฟนิคอฟ 2 นักเทนนิสชาวรัสเซีย ได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม เขาก็ต้องตกรอบในเทนนิสรายการแกรนด์ สแลม อย่าง เฟร้นช์ โอเพ่น, วิมเบิลดัน และ ยูเอส โอเพ่น ไปตั้งแต่ไก่โฮ่

       แต่หลังจากจบปีนี้ อันดับของ เฟเดอเรอร์ ก็ขยับขึ้นมาอยู่อันดับที่ 6 ของโลก (ในระบบ Champions Race) ส่งผลให้เขาได้มีส่วนร่วมลงแข่งขันเทนนิสรายการ มาสเตอร์ คัพ ได้เป็นปีแรก และเขาก็ทำผลงานได้ดีด้วยการผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ก่อนที่จะไปพ่ายให้กับ เลย์ตัน ฮิววิตต์ นักหวดชาวออสซี่ ซึ่งตอนนั้นเป็นมือ 1 ของโลก และกลายเป็นแชมป์รายการดังกล่าวในท้ายที่สุด

       ในปี 2003 เฟเดอร์ ยังคงทำผลงานได้ดีขึ้นตามลำดับ โดยปีนี้ เขาปิดฉากฤดูการแข่งขันที่อันดับ 2 ของโลก ด้วยผลงานคว้าแชมป์ได้ถึง 8 รายการ ซึ่ง 1 ในนั้นก็คือ การคว้าแชมป์เทนนิสแกรนด์ สแลมครั้งแรกของตัวเองในรายการ วิมเบิลดัน หลังจากที่เขาเอาชนะ นิโคลัส คีเฟอร์ นักเทนนิสชาวเยอรมันมาได้ในรอบชิงชนะเลิศ นอกจากนี้ ในช่วงปลายปี เฟเดอเรอร์ ซึ่งถูกจัดให้เป็นมือวางอันดับ 3 ของรายการ ก็ยังคว้าแชมป์ เทนนิส มาสเตอร์ คัพ ที่ ฮูสตัน ได้อีกด้วย หลังจากโค่น อังเดร อกัสซี่  ได้ในรอบชิงชนะเลิศ

2004 : ก้าวสู่หมายเลข 1 ของโลก

 

        ในปี 2004 เฟเดอเรอร์  ก็สามารถก้าวขึ้นมาเป็นนักหวดเบอร์ 1 ของโลกได้สำเร็จ และได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็น 1 ในนักเทนนิสที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในวงการลูกสักหลาดยุคใหม่ของเขามาจนถึงปัจจุบัน โดยในปีนี้ เฟเดอเรอร์ สามารถคว้าแชมป์แกรนด์ สแลม ได้ถึง 4 รายการ (ออสเตรเลี่ยน โอเพ่น, วิมเบิลดัน, ยูเอส โอเพ่น) รวมทั้งยังไม่เคยแพ้ให้กับนักเทนนิสมือระดับท็อปเทนเลยซักราย

       ยิ่งไปกว่านั้น เขายังผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศทุกรายการที่ลงทำการแข่งขันอีกด้วย  แต่เขาก็ต้องผิดหวังในการเล่นศึกแกรนด์ สแลม เฟร้นช์ โอเพ่น รวมถึงโอลิมปิกส์ 2004 ที่กรุงเอเธนส์ ซึ่งเขาพลาดท่าตกรอบ 32 คนสุดท้ายไปอย่างพลิกล็อค อย่างไรก็ตาม เฟเดอเรอร์ ก็สามารถป้องกันแชมป์ มาสเตอร์ คัพ ได้อีกสมัย ในช่วงปลายปี หลังจากเอาชนะ ฮิววิตต์ มาได้ในรอบชิงชนะเลิศ

         เมื่อจบการแข่งขันในปี 2004 เฟเดอเรอร์ โชว์ผลงานการหวดแร็กเก็ตได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยผลงานคว้าแชมป์ได้ถึง 11 ราย และมีสถิติชนะไปถึง 74 เกม และแพ้ไปเพียง 6 เกมเท่านั้น แม้ว่าตลอดทั้งปีเขาจะลงเล่นโดยที่ไม่มีโค้ชดูแลก็ตาม ส่งผลให้เขาได้รับรางวัล ITF Tennis World Champion และ  Laureus World Sportsman of the Year ในปี 2005 และได้เรื่อยมาจนกระทั่งถึงปี 2008

2005-2007 : ช่วงแห่งความรุ่งโรจน์

       ฟอร์มของ เฟเดอเรอร์ ร้อนแรงยิ่งขึ้นในปี 2005 แม้ว่าจะประเดิมสนามในศึกแกรนด์ แสลมแรก ออสเตรเลี่ยน โอเพ่น ตั้งแต่ต้นปี ด้วยการผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศเท่านั้น แต่เขาก็สามารถกลับมาคว้าถ้วยรางวัลหลังจากนั้นได้ 3 รายการ ก่อนที่จะมาอกหักในศึกเฟร้นช์ โอเพ่น อีกครั้ง หลังพ่าย ราฟาเอล นาดาล นักเทนนิสชาวสเปน ไปในรอบรองชนะเลิส

       อย่างไรก็ตาม จากนั้น เฟเดอเรอร์ ก็คว้าแชมป์วิมเบิลดันสมัยที่ 2 ให้กับตนเองได้สำเร็จ หลังเอาชนะ ร็อดดิ๊ก มาได้ในรอบชิงชนะเลิศ ก่อนจะปิดท้ายด้วย ยูเอส โอเพ่น แกรนด์ สแลม สุดท้ายของปี แม้ว่าในรายการ มาสเตอร์ คัพ เฟเดอเรอร์ จะไม่สามารถป้องกันแชมป์ได้ก็ตาม แต่ทว่าเมื่อจบปีนี้ เขาก็มีสถิติชนะถึง 83 ครั้ง แพ้ เพียง 3 ครั้ง พร้อมกับมีคะแนนสะสมถึง 1,087 แต้ม ซึ่งยากเกินกว่าที่ใครจะไล่ตามทัน

      ในปี 2006 เฟเดอเรอร์ สามารถคว้าแชมป์แกรนด์ สแลมได้ 3 จาก 4 รายการ (ออสเตรเลี่ยน โอเพ่น, วิมเบิลดัน, ยูเอส โอเพ่น)  และยังจบฤดูกาลด้วยการครองนักเทนนิสหมายเลข 1 ต่อไปอย่างเหนียวแน่น รวมทั้งยังคว้าแชมป์ในรายการอื่นๆ ได้อีก 9 รายการ 

        อย่างไรก็ตาม ไฮไลท์ในปีนี้ ของ เฟเดอเรอร์ น่าจะอยู่ที่การคว้าแชมป์ วิมเบิลดัน ได้เป็นสมัยที่ 4 ติดต่อกัน  ภายหลังอาชนะ นาดาล มาได้ ในรอบชิงชนะเลิศ รวมถึงการกลับมาคว้าแชมป์ มาสเตอร์ คัพ เป็นสมัยที่ 3 ให้กับตนเองได้อีกครั้ง  หลังเอาชนะ เจมส์ เบลค นักหวดผิวสีชาวสหรัฐฯ มาได้ในรอบชิงชนะเลิศ สรุปแล้วในปีนี้ เฟเดอเรอร์ ปราชัยให้กับนักเทนนิสเพียง 2 รายเท่านั้นได้แก่ นาดาล ในศึกเฟร้นช์ โอเพ่น, โรม, มอนติคาร์โล และ ดูไบ  ส่วนอีกรายคือ  แอนดี้ เมอร์เรย์ ในรายการที่ ซินเซนเนติ มาสเตอร์ส 

       ในปี 2007 เฟเดอเรอร์ ออกสตาร์ตฤดูกาลได้อย่างสวยงาม ด้วยการประกาศศักดาคว้าแชมป์ ออสเตรเลี่ยน โอเพ่น ได้สำเร็จ หลังจากเอาชนะ เฟร์นานโด กอนซาเลซ นักหวดชาวชิลี ไปอย่างง่ายดาย  3 เซ็ตรวด ในรอบชิงชนะเลิศ ส่งผลให้เขาสามารถคว้าแชมป์แกรนด์ สแลม รายการที่ 10 ให้ตัวของเขาเองได้อีกด้วย พร้อมกับเป็นนักเทนนิสชายคนแรกที่คว้าแชมป์แกรนด์ แสลม ได้แบบไม่เสียเซ็ตเลยตลอดทัวร์นาเม้นต์ นับตั้งแต่ที่ บียอร์น บอร์ก อดีตนักเทนนิสระดับตำนานชาวสวีดิช ทำได้ในปี 1980

       หลังจากนั้นมา เฟเดอเรอร์  ก็ทำสถิติชนะติดต่อกัน 41 เกม ก่อนที่จะมาพลาดท่าพ่ายให้กับ กิลแยร์โม่ คานาส นักเทนนิสชาวอาร์เจนไตน์ ในรอบสอง ของศึกแปซิฟิก ไลฟ์ โอเพ่น ที่ อินเดียนน่า เวลล์,  แคลิฟอร์เนีย หลังจากเคยคว้าแชมป์รายการนึ้ถึง 3 สมัยติดต่อกัน และถัดมาในรายการ โซนี่ อีริคส์สัน โอเพ่น ที่ ไมอามี่, ฟลอริด้า เฟเดอเรอร์ ก็ต้องแพ้ให้กับ คานาส เป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน ในรอบที่สี่ ด้วยการพ่ายไป 3 เซ็ตรวด และในรายการนี้ เฟเดอเรอร์ ได้รับรางวัล ATP Awards ระหว่างการแข่งขันด้วย โดยเขาถือเป็นคนแรกที่ได้รับรางวัลดังกล่าวเป็นครั้งที่ 4 ในปีเดียวกัน

        เข้าสู่การแข่งขัน คอร์ตดิน เฟเดอร์เรอร์ เปิดฉากด้วยการเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศในศึก มอนดิ คาร์โล มาสเตอร์ส ได้เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน แต่ก็เหมือนในปี 2006 ที่เขาต้องเป็นฝ่ายพ่ายให้กับ นาดาล ไปอีกเช่นเคย หลังจากนั้น เขาก็ไม่สามารถคว้าแชมป์รายการคอร์ตดินใดๆ ได้เลย ในอีก 4 รายการถัดมา แต่ว่า เขาก็ยังคงรั้งตำแหน่งนักหวดเบอร์ 1 ของโลกต่อไป อย่างเหนียวแน่น

        จนในที่สุด เฟเดอเรอร์ ก็ได้สัมผัสแชมป์บนคอร์ตดินเป็นครั้งแรกในปีนี้ ในรายการ ฮัมบูร์ก มาสเตอร์ โดยเขาสามารถโค่นเอาชนะ นาดาล ได้ในรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งนี่ถือว่าเป็นชัยชนะครั้งแรกของเฟเดอเรอร์ ในการพบกับ นาดาล บนคอร์ตดิน พร้อมทั้งเป็นการหยุดสถิติชัยชนะรวด 81 เกมบนเคลย์คอร์ตของ นาดาล  อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ในศึกแกรนด์ สแลม เฟร้นช์ โอเพ่น เฟเดอเรอร์ ก็ต้องเป็นฝ่ายปราชัยให้กับ นาดาล ไปอีกเป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน  ในรอบชิงชนะเลิศที่ โรล็อง การ์โรส

       หลังจากจบศึก เฟร้นช์ โอเพ่น เฟเดอเรอร์ ได้ประกาศถอนตัวออกจาการแข่งขันเทนนิสคอร์ตหญ้า รายการ แกร์รี่ เวเบอร์ โอเพ่น ที่ ฮัลเล่ ซึ่งเขาเคยคว้าแชมป์ได้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บรบกวน ก่อนที่จะสามารถหายทันลงเล่นเกมวิมเบิลดัน แต่ทว่า นี่ก็เป็นปีแรกที่เขาเข้าร่วมการแข่งขันแบบที่ไม่ได้มีการเตรียมตัวในการเล่นบนคอร์ตหญ้าเลย อย่างไรก็ตาม เฟเดอเรอร์ ก็สามารถคว้าแชมป์ วิมเบิลดัน สมัยที่ 5 ติดต่อกันให้กับตัวเองได้สำเร็จ หลังจากเอาชนะ นาดาล มาได้ในรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งทำให้เขาครองแชมป์รายการนี้ เทียบเท่ากับ บียอร์ก บอร์ก อดีตนักเทนนิสระดับตำนาน อีกด้วย

       ความร้อนแรงของ “เฟดเอ็กซ์” ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยเขายังคงกวาดแชมป์เทนนิสได้อย่างสม่ำเสมอต่อไป รวมถึง การคว้าแชมป์แกรนด์ สแลม ยูเอส โอเพ่น ได้ด้วย โดยเขาเอาชนะ โยวัค ยอโควิช นักเทนนิสดาวรุ่งชาวเซิร์บมาได้ในรอบชิงชนะเลิศ ส่งผลให้เขา มีสถิติคว้าแชมปไปแล้ว 51 รายการ เป็นแชมป์มาสเตอร์ซีรี่ย์ 14 รายการ และ แชมป์แกรนด์ สแลม 12 รายการ ก่อนที่จะเข้าสู่การแข่ง เทนนิส มาสเตอร์ คัพ ซึ่งเขาก็สามารถคว้าแชมป์มาครองได้อีกเช่นเคย

2008 : ช่วงขาลง ?  

       เฟเดอเรอร์ ไม่สามารถป้องกันแชมป์ ออสเตรเลี่ยน โอเพ่น ได้ หลังพ่ายให้กับ ยอร์โควิช ไปในรอบชิงชนะเลิศ และความปราชัยในครั้งนี้ หลังจากนั้น ผลงานของเขาก็ยังไม่ดีขึ้น หลังจากต้องเป็นฝ่ายปราชัย ให้กับ แอนดี้ เมอร์เรย์ ไปเพียงในรอบแรกเท่านั้น ในรายการเทนนิสที่ ดูไบ  และในเดือน มีนาคม เฟเดอเรอร์ ก็ถูกวินิจฉัยว่า โรคเกี่ยวกับการติดเชื้อ ซึ่งเขาอาจได้รับเชื้อดังกล่าวในเดือนธันวาคม ปี 2007 อย่างไรก็ดี เขาก็ระบุว่า ตนเองได้รักษาอาการดังกล่าวหายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

      เฟเดอเรอร์ ยังคงหาฟอร์มเก่งของตนเองไม่เจอต่อไป เมื่อเขาแพ้ให้กับ มาร์ดี้ ฟิช นักเทนนิสชาวอเมริกัน ในรอบรองชนะเลิศ ศึก แปซิฟิค ไลฟ์ โอเพ่น หลังจากนั้น ในทัวร์นาเม้นต์ โซนี่ อีริคสัสัน โอเพ่น ที่ เคย์บิสคาน, ฟลอริด้า เขาก็ต้องพบกับความพ่ายแพ้อีกครั้งให้กับ นักเทนนิสชาวสหรัฐฯ อย่าง แอนดี้ ร็อดดิก ในรอบก่อนรองชนะเลิศ อย่างไรก็ตาม ในที่สุด เฟเดอเรอร์ ก็สามารถคว้าแชมป์แรกในปีนี้ได้สำเร็จ ในรายการคอร์ตดิน ที่ อีสโตริล, โปรตุเกส และยังเป็นรายการแรก ที่เขาได้ร่วมงานกับโค้ชคนใหม่ อย่าง โชเซ่ ฮิกูอีราส  ก่อนที่จะต้องพบกับความพ่ายแพ้อีกครั้งในรายการ ฮัมบูร์ก มาสเตอร์ ซึ่งเขาเป็นแชมป์เก่าในรายการ

       เข้าสู่รายการแกรนด์ สแลม เฟร้นช์ โอเพ่น เฟเดอเรอร์ ก็ยังคงไม่สมหวังอีกเช่นเคย โดยแพ้ให้กับ นาดาล ไปอีกครั้งเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน และเป็นปีที่ 3 ในรอบชิงชนะเลิศ ก่อนที่ เฟเดอเรอร์ จะกลับมาสัมผัสถ้วยรางวัลอีกครั้ง ในรายการ อุ่นเครื่องก่อนศึกวิมเบิลดัน ที่ ฮัลเล่, เยอรมัน และยังถือเป็นแชมป์อาชีพ รายการที่ 55 ของเขา แถมยังเป็นแชมป์บนคอร์ตหญ้ารายการที่ 10 เทียบเท่า กับ พีท แซมพราท อดีตนักเทนนิสระดับโลกชาวสหรัฐฯ อีกด้วย  แต่น่าเสียดาย ที่ในรายการแกรนด์ แสลม วิมเบิล เฟเดอเรอร์ ไม่อาจสร้างสถิติคว้าแชมป์สมัยที่ 6 ให้กับตนเองได้สำเร็จ หลังจากเสียท่าให้กับ คู่ปรับตัวฉกาจอย่าง นาดาล ไปอย่างน่าเจ็บใจ 2-3 เซ็ต ซึ่งแมตช์ดังกล่าว ต้องเล่นกับถึง 4 ชั่วโมง 48 นาที และความปราชัยครั้งนี้ ก็ทำให้ เฟเดอเรอร์ ต้องหยุดสถิติชัยชนะบนคอร์ตหญ้าที่ 65 แมตช์  ลงอีกด้วย

ชีวิตส่วนตัว

       เฟเดอเรอร์ ปัจจุบัน อาศัยอยู่ที่ โอเบอร์วิล สวิตเซอร์แลนด์ และเป็นแฟนกับ มิโรสลาวา วาฟริเนค (เมอร์ก้า) อดีตนักเทนนิสหญิง เชื้อสาย สโลวะเกีย ซึ่งเลิกเล่นอาชีพ ในปี 2002  หลังจากบาดเจ็บที่เท้า โดยทั้งสองคนพบกันที่ โอลิมปิกส์ ที่ ซิดนีย์ ปี 2000 ทั้งนี้ เฟเดอเรอร์ ถือ ภาษาสวิส-เยอรมัน เป็นภาษาแม่ แต่สามารถพูดฝรั่งเศส และอังกฤษ ได้อย่างคล่องแคล่ว และจัดรายงานข่าวทั้งสามภาษา เขาชอบไปพักผ่อนที่ มัลดิฟส์, ดูไบ, และเทือกเขาสวิส เขายังเป็นเพื่อนกับนักกอล์ฟ ไทเกอร์ วู้ดส์ อีกด้วย

       เฟเดอเรอร์ ได้รับการสนับสนุน ไม้เทนนิส และอุปกรณ์อื่นๆ ของวิลสัน และสนับสนุน ชุดกีฬาและรองเท้า ของไนกี้ ในการแข่งขันวิมเบิลดัน ปี 2006 ไนกี้ทำเสื้อแจ๊กเกต โดยมีตรา ไม้เทนนิสสามอัน เป็นเครื่องหมายว่า เฟเดอเรอร์ ได้ชนะ วิมเบิลดันมาแล้วสามครั้ง นอกจากนี้ เฟเดอเรอร์ ยังมีสปอร์เซอร์ อีกหลายๆบริษัท โดยเฉพาะบริษัทของสวิตเซอร์แลนด์ เฟเดอเรอร์ ได้เป็นพรีเซนเตอร์ให้กับผลิตภัณฑ์ยิลเลตต์ ร่วมกับนักฟุตบอลชาวฝรั่งเศส เทียร์รี่ อองรี, นักกอล์ฟชาวอเมริกัน ไทเกอร์ วูดส์ และนักคริกเกตชาวอินเดีย ราฮูล ดราวิด ขณะที่ในเดือนตุลาคม 2003 เฟเดอเรอร์ ได้เปิดตัวน้ำหอม ยี่ห้อ อาร์เอฟ คอสเมติคส์ (RF Cosmetics) ซึ่งย่อมาจาก ชื่อของเขา อีกด้วย

 

การช่วยเหลือสังคม

 

          เฟเดอเรอร์ ก่อตั้ง มูลนิธิ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ (Roger Federer Foundation) ขึ้นในเดือนธันวาคม 2003 โดยมีจุดมุ่งหมายสำหรับ ออกทุนให้กับ โปรเจคที่ช่วยเหลือเด็กพิการ โดยเน้นที่ประเทศแอฟริกาใต้ อย่างเช่น IMBEWU ในเดือนมกราคม 2005 เฟเดอเรอร์ ได้สนับสนุนให้นักเทนนิส ช่วยกันหาเงินทุนสำหรับ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก สึนามิ ในปี 2004 และได้ประมูล ไม้เทนนิสที่เซ็นต์ชื่อเอาไว้ เพื่อนำเงินไปสมทบทุนยูนิเซฟ  วันที่ 3 เมษายน 2006  เฟเดอเรอร์ ได้รับแต่งตั้งเป็น ทูตระหว่างชาติ จากองค์การยูนิเซฟ  เพื่อช่วยเหลือเด็กยากจนทั่วโลก วันที่ 23 ธันวาคม 2006  เขาไปเยี่ยมเด็กๆ ที่ ทามิล นาดู ในอินเดีย ซึ่งประสบภัยจากสึนามิ และกล่าวว่า "มันน่าตื่นตาตื่นใจมาก ที่เห็นเด็กๆใช้ การซ่อมแซมจากความเสียหาย เป็นโอกาสในการพัฒนา วิถีชีวิตของพวกเขา การที่เด็กๆสามารถ ฟื้นจากสภาพการณ์ที่เลวร้ายมากๆ เป็นการปรับตัวที่น่ายกย่อง"

 

สไตล์การเล่น

        เฟเดอเรอร์ มีสไตล์การเล่น แบบออลคอร์ต และสามารถตีลูกพื้นฐาน ทุกชนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เฟเดอเรอร์ เป็น นักวอลเลย์ที่เชี่ยวชาญ และเล่นที่เส้นท้ายสนาม ได้อย่างยอดเยี่ยม สามารถควบคุมเกม ได้ด้วยกราวน์สโตรก จากทั้งสองฝั่งสนาม เฟเดอเรอร์ถือไม้แบบธรรมดา โฟร์แฮนด์ของเขาอยู่ระหว่าง แบบตะวันออกนำสมัย กับ กึ่งตะวันตกเล็กน้อย โดยมือของเขา จะอยู่ที่ส่วนกลางใต้ไม้เทนนิส ทำให้สามารถตีได้ทั้งแบบตบ และท็อปสปิน

       เฟเดอเรอร์ ตีลูกโฟร์แฮนด์ ในแนวราบ และจบการตีลูก โดยที่แขนจะรวบอยู่กับตัว และไม้จะไปอยู่ด้านหลัง ซึ่งไม่ใช่เทคนิคทั่วไป ในการตีลูก ซึ่งหลังจากตีลูกแล้ว ไม้เทนนิสจะข้ามไหล่ไปด้านหลัง และข้อศอกของมือที่ตีชี้ขึ้นฟ้า เฟเดอเรอร์ ยังสามารถตีท็อปสปินได้รุนแรง ทำให้เขาตีลูกครอสคอร์ท ฉีกมุม โดยที่ยังตีบอลด้วยความเร็วสูง เดวิด วอลเลซได้อธิบาย การเคลื่อนไหวของลูกฟอร์แฮนด์ที่ รุนแรง ลื่นไหล และมีความเร็วสูง นี้ว่า "การหวดแบบของเหลว"

       ในขณะที่ จอห์น แมคเอนโรว์ กล่าวถึงมันว่า "ลูกตีที่ยอดเยี่ยมที่สุด ในกีฬาของเรา" อยู่หลายครั้ง  เฟเดอเรอร์ เล่น แบคแฮนด์ด้วยมือเดียว ซึ่งได้พัฒนาขึ้น จากเมื่อหลายปีก่อน แม้ว่านักวิจารณ์ และโค้ชจะมองว่า แบคแฮนด์ของเขาเป็นจุดอ่อน แต่มันได้พัฒนา เป็นหนึ่งในแบคแฮนด์ที่ดีที่สุด เฟเดอเรอร์ ตีลูกตัด ได้ยอดเยี่ยม และยังสามารถตีลูกท็อปสปิน ได้ดีอีกด้วย เฟเดอเรอร์ มักจะตีลูก กราวน์สโตรก เร็วกว่าปกติ โดยตีขณะที่ ลูกบอลยังเด้งขึ้นมา เหมือนกับที่ อังเดร อากัสซี่ตี ซึ่งมันต้องอาศัย ฟุตเวิร์ก และ ปฏิกิริยาที่ยอดเยี่ยม แต่ก็ทำให้ เฟเดอเรอร์ ตีลูกกราวน์สโตรก ได้ใกล้เน็ทมากกว่าคู่แข่งขัน คู่แข่งจึงถูกลดเวลา ในการโต้ตอบลง และทำให้เขาสามารถตีลูก ฉีกมุมซึ่งเป็นเหมือน ลูกไม้ตายของเขา

       ลูกเสิร์ฟ ของ เฟเดอเรอร์ เป็นลูกที่อ่านได้ยาก เพราะเขาโยนบอลไปที่จุดเดียวกัน ไม่ว่าเขาตั้งใจจะเสิร์ฟไปทางไหน และเขาหันหลังให้กับคู่แข่ง ขณะเสิร์ฟอีกด้วย ลูกเสิร์ฟแรกของเขา จะมีความเร็ว ที่ประมาณ 190 กม/ชม (118 ไมล์/ชม) ลูกเสิร์ฟที่สองของเขา มักจะเป็นลูกปั่นเด้งสูง เฟเดอเรอร์ มักจะเสิร์ฟ แบบเน้นตำแหน่ง และ ความแม่นยำ แต่ในบางครั้ง เขาจะตีลูกเสิร์ฟแรงๆ เพื่อให้คู่แข่ง เสียการทรงตัว เฟเดอเรอร์ มี ฟุตเวิร์ก, การทรงตัว และการคลุมพื้นที่ ที่ยอดเยี่ยม และเขาถูกจัดเป็นผู้เล่นที่เคลื่อนไหว ได้เร็วที่สุดอีกด้วย ผู้เล่นส่วนใหญ่จะก้าวเท้าสั้นๆ หลายๆ ก้าวเพื่อจะเข้าถึงบอล อย่างเช่น จิมมี่ คอนเนอร์ แต่ เฟเดอเรอร์ จะก้าวเท้ายาวๆ ได้อย่างลื่นไหล เขาสามารถตีลูกแรงๆ ขณะที่ยังวิ่งอยู่ หรือขณะก้าวถอยหลัง ทำให้เขาสามารถ เปลี่ยนจากรับเป็นรุก ได้อย่างรวดเร็ว สไตล์การเล่นของ เฟเดอเรอร์ เป็นแบบผ่อนคลาย และไหลลื่น แต่ซ่อนแทคติกที่เน้นการบุก และฉวยโอกาสเอาไว้ เฟเดอเรอร์ สามารถเล่นในเกม ที่มีความกดดันได้ดี เขามักจะป้องกันการเบรก การเสียเซต หรือแมตช์ ในช่วงสำคัญๆของเกมได้เสมอ

 


สถิติโลก

- โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ มีสถิติโลกอยู่หลายอย่าง ในประวัติศาสตร์เทนนิส สถิติโลกที่โดดเด่นที่สุดคือ เฟเดอเรอร์ ชนะเลิศ ออสเตรเลียน โอเพ่น, วิมเบิลดัน และ ยูเอส โอเพ่น ในปีเดียวกันถึง 3 ครั้ง ในปี 2004, 2006, 2007

- เฟเดอเรอร์ ได้ทำลายสถิติ เก่าๆมากมาย โดย ในปี 2007 เฟเดอเรอร์ ทำสถิติ ได้เทียบเท่ากับ บิยอห์น บอร์ก ที่ชนะเลิศวิมเบิลดันติดต่อกัน 5 สมัย นับตั้งแต่จัดการแข่งขันแบบโอเพ่น และในปี 2550 เช่นกัน ได้ทำสถิติชนะเลิศ ยูเอส โอเพ่น ติดต่อกัน 4 สมัย นับตั้งแต่จัดการแข่งขันแบบโอเพ่น

- เฟเดอเรอร์ ทำสถิติ การครองมืออันดับหนึ่งของโลก เป็นเวลานาน 233 สัปดาห์ติดต่อกัน (สิ้นสุด ณ วันที่ 14 กรกฎาคม 2008) ทำลายสถิติของ จิมมี่ คอนเนอร์ (ประเภทชายเดี่ยว) ที่ทำไว้ 160 สัปดาห์ อย่างย่อยยับ และ 186 สัปดาห์ติดต่อกัน ของสเตฟฟี่ กราฟ (ประเภทหญิงเดี่ยว)


ลับเฉพาะกับ เฟเดอเรอร์

- เฟเดอเรอร์ มีแฟนสาวนามว่า มิโรสลาฟ "เมียร์ก้า" วาฟริเนช อดีตนักเทนนิสหญิงของ ดับบลิวทีเอ ซึ่งแขวนแร็คเก็ตในปี 2002 เนื่องจากบาดเจ็บที่เท้า โดยทั้งคู่พบกันในโอลิมปิก เกมส์ ที่ซิดนีย์ ปี 2000
- เฟเดอเรอร์ ได้เปิดตัวน้ำหอมของตัวเอง ซึ่งมีชื่อแบรนด์ว่า "RF Cosmetics" ในเดือนตุลาคม ปี 2003 in
- เฟเดอเรอร์ จะใช้ภาษาสวิส-เยอรมันเป็นภาษาแรกของเขา แต่เขาก็สามารถพูดภาษาเยอรมัน, ฝรั่งเศส และ อังกฤษ ได้อย่างคล่องแคล่วอีกด้วย โดยเขามักจะใช้ทั้งสามภาษาเวลาให้สัมภาษณ์
- เฟเดอเรอร์ ชอบไปพักร้อนที่ ดูไบ, เกาะมัลดีฟสส์ และ เทือกเขาสูงในสวิส
- เฟเดอเรอร์ เป็นเพื่อนสนิทกับ ไทเกอร์ วู้ดส์ นักกอล์ฟชื่อดังของโลก
- เฟเดอเรอร์ นับถือศาสนา โรมัน แคโทริค และเคยพบกับ พระสันตปาปา เบเนดิกส์ ที่ 2 มาแล้ว ขณะที่ ทำการแข่งขันในรายการ Internazionali BNL d'Italia tournament ที่ กรุงโรม ในปี 2006
- เฟเดอเรอร์ มีส่วนในงานการกุศลหลายๆ งาน โดยเขาได้ก่อตั้ง มูลนิธิ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ขึ้นเมื่อปี 2003 เพื่อช่วยเหลือคนด้อยโอกาสและสนับสนุนการเล่นกีฬาให้กับเยาวชน นอกจากนี้ เขายังได้รับแต่งตั้งให้เป็นฑูตพิเศษขององค์การยูนิเซฟ ตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมา ซึ่งทำให้เขาได้เดินทางไปยัง แอฟริกาใต้ และ ทามิล นาดูล ซึ่งเป็นรัฐหนึ่งในอินเดียที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด ในเหตุการณ์สึนามึเมื่อปี 2004 ยิ่งไปกว่านั้น เขาช่วยยูนิเซฟ รณรงค์การแพร่เชื้อของโรคเอดส์ อีกด้วย
- นิตยสาร ทามส์ ได้ยกให้ เฟเดอเรอร์ เป็น 1 ใน 100 บุคคลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดของโลก ในปี 2007
- เฟเดอเรอร์ เป็นแฟนกีฬา คริเกต ตัวยง และมักจะใช้เวลาว่างของเขาเพื่อเล่นกีฬาประเภทนี้
- ในปี 2007 เฟเดอเรอร์ เป็นนายแบบถ่ายรูปในชุด "คิง อาร์เธอร์" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโปรเจ็กต์ การถ่ายภาพบุคคลดังให้กับ ดิสนีย์

ผลงานการแข่งขัน

สถิติการเล่น : ชนะ 594 แพ้ 143
แชมป์การเล่นอาชีพ : 55 รายการ
มืออันดับสูงสุด : อันดับ 1 ของโลก (2 กุมภาพันธ์ 2004)

ผลการแข่งขันรายการแกรนด์ สแลม

ออสเตรเลี่ยน โอเพ่น : แชมป์ (2004, 2008, 2007)
เฟร้นช์ โอเพ่น : รองแชมป์ (2006, 2007, 2008)
วิมเบิลดัน : แชมป์ (2003, 2004, 2005, 2006, 2007)
                รองแชมป์ (2008)
ยูเอส โอเพ่น : แชมป์ (2003, 2004, 2006, 2007)

ผลการแข่งทัวร์นาเม้นต์ใหญ่

มาสเตอร์ คัพ : แชมป์ (2003, 2004, 2006, 2007)
โอลิมปิก เกมส์ : อันดับ 4 (2000)

**ข้อมูล สิ้นสุด ณ วันที่ 23 กรกฎาคม 2551

ADS