Creepypasta ประวัติศาสตร์เรื่องหลอนบนอินเทอร์เน็ต

sittiwut | 16/11/2025 15:28 น. | 14 Views
Creepypasta-ประวัติศาสตร์เรื่องหลอนบนอินเทอร์เน็ต



Creepypasta คืออะไร?

 

           Creepypasta คือเรื่องเล่าประเภทสยองขวัญที่ถูกส่งต่อกันไปทั่วอินเทอร์เน็ต ตอนแรกพวกมันถูกเรียกว่า “อีเมลลูกโซ่” อีเมลลูกโซ่นี้เป็นเวอร์ชั่นออนไลน์ของจดหมายลูกโซ่แบบกระดาษ ทำหน้าที่กระจายข่าวลวงและตำนานเมืองต่างๆ โดยโน้มน้าวให้คนเชื่อว่าพวกเขาจะได้รับเงินรางวัลหากส่งต่ออีเมล หรือจะโชคร้ายหากลบมันทิ้ง เมื่อเว็บเติบโตขึ้น ข้อความที่ถูกก็อปวางเป็นก้อนๆ ก็แพร่กระจายออกไปนอกอีเมลไปยังเว็บบอร์ด, กลุ่ม Usenet และโซเชียลเน็ตเวิร์ก จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์อินเทอร์เน็ตในที่สุด และนอกจากนี้ตำนานเมืองไวรัลที่มีชีวิตด้วยการคัดลอก–วาง ส่งต่อๆกัน ได้กลายเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กหญิงวัย 12 สองคนในรัฐวิสคอนซินพยายามฆ่าเพื่อนของตัวเองอีกด้วย


           ในช่วงทศวรรษ 1990 อีเมลลูกโซ่สร้างแรงกระทบกับผู้อ่านในแบบเดียวกับพาดหัว “คลิกเบต” ในปัจจุบัน: เล่นกับอารมณ์ของผู้อ่าน แล้วพวกเขาจะยิ่งแชร์สิ่งที่คุณต้องการให้แชร์ บอกว่าถ้าลบทิ้งจะเกิดเรื่องร้าย หรือต้องแชร์เรื่องดีๆ ของสุนัขตาบอดเพื่อเป็นคนดีขึ้น และคุณก็จะได้ไวรัลทันที อีเมลลูกโซ่เป็นหนึ่งในช่องทางไวรัลยุคแรกๆ ของอินเทอร์เน็ต และนอกเหนือจากสแปมเมอร์โหดๆ กับคนที่พยายามหลอกเอาข้อมูลธนาคาร พวกมันก็ถือว่าแทบไม่มีอันตรายอะไร

 

คำนิยาม :

             ราวปี 2006 ข้อความไวรัลที่ถูกก็อปวางถูกชุมชน 4chan ตั้งชื่อว่า “Copypasta” และเริ่มแยกออกเป็นหลายแนว แนวที่ได้รับความนิยมที่สุดคือ Creepypasta ข้อความสั้นๆ ที่ถูกก็อปวางซ้ำซึ่งเล่าเรื่องราวสยองขวัญหรือตำนานเมืองชวนขนลุก นักเขียน Creepypasta นำตำนานเมืองยอดนิยมอย่างตำนาน Bloody Mary มาดัดแปลง หรือจะสร้างเรื่องใหม่ๆทั้งหมดก็ได้ เพื่อให้ผู้อ่านรู้สึกกลัวสุดขีด พวกมันก็เหมือนเรื่องผีสั้นๆ ที่แชร์กันง่ายๆ ซึ่งอาจโฟกัสตั้งแต่เรื่องโหดร้าย เช่น ฆาตกรรมและการฆ่าตัวตาย ไปจนถึงสิ่งลึกลับเหนือธรรมชาติ เช่น เอเลี่ยนและซอมบี้ แหล่งรวมตัวของนักเขียนแนวนี้คือ Creepypasta Wiki ที่พวกเขาแลกเปลี่ยนเรื่องราวและติดต่อกัน

 

          Creepypasta ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของ นิทานพื้นบ้านร่วมสมัย (modern folklore) ซึ่งใช้เทคนิคการเล่าเรื่องคล้ายกัน เช่น การใช้ผู้เล่าเรื่องบุคคลที่หนึ่ง และการผสานข้อมูลจริงเข้ามาในเรื่องราว การผสมข้อมูลจริงบางส่วนไว้ในเรื่อง creepypasta เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เรื่องเหล่านี้น่าสนใจและดูน่าเชื่อถือ คล้ายกับนิทานพื้นบ้านแบบดั้งเดิม ความแตกต่างคือเดิมทีนิทานพื้นบ้านแพร่กระจายผ่านการเล่าต่อแบบปากต่อปาก แต่ creepypasta แพร่กระจายผ่านช่องทางดิจิทัล ทำให้เข้าถึงง่าย และสร้างความรู้สึกเป็นชุมชนในหมู่ผู้ที่มีส่วนร่วมกับเรื่องเหล่านี้

          ต่างจาก copypasta — creepypasta ทุกเรื่องเป็นนิยายสยองขวัญ และยังรวมถึงเนื้อหามัลติมีเดีย ผู้สร้างอาจใช้วิดีโอ ภาพ ลิงก์ หรือไฟล์ GIF ประกอบกับตัวบท เพื่อเพิ่มบรรยากาศและประสบการณ์ของเรื่องราว


จากเรื่องเล่าสู่เรื่องเศร้า :

          ด้วยเทคนิคการเล่าเรื่องของเรื่องสยองขวัญและความนิยมในหมู่เด็กๆ ทำให้บางครั้งผู้อ่าน โดยเฉพาะเด็กเล็กเข้าใจผิดว่าเรื่องเหล่านี้คือเรื่องจริง การเข้าถึงเรื่องราวเหล่านี้ได้ง่ายและการผสมผสานระหว่างจินตนาการและความเป็นจริงดึงดูดใจเด็กๆ และแก่นเรื่องทั่วไปของความไม่แน่นอนและความกำกวมในเรื่องราวอาจทำให้ผู้อ่านสับสนได้

          ในเหตุการณ์ "การแทงสเลนเดอร์แมน" อันโด่งดังในรัฐวิสคอนซินในปี 2014 เด็กหญิงวัย 12 ปีสองคน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีอาการประสาทหลอนทางการได้ยินอันเป็นผลมาจากโรคจิตเภท พยายามฆ่าเด็กหญิงอีกคนหนึ่งเพื่อเอาใจสเลนเดอร์แมนและพิสูจน์ว่าตัวละครนั้นมีตัวตนจริง หลังจากการโจมตี เว็บไซต์ Creepypasta.com ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ต่อสื่อ โดยแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และชี้แจงว่าเรื่องราวในเว็บเป็นเพียงเรื่องแต่ง

          เมื่อ Creepypasta ถูกดึงสู่สปอตไลต์จากเหตุการณ์สยอง เจ้าของเว็บไซต์ Creepypasta.com ก็ออกแถลงการณ์พูดถึงการพยายามฆ่าดังกล่าว ผู้ดูแลระบบชื่อ “derpbutt” ระบุว่า : "ผมพยายามกระตุ้นให้นักเขียนที่นี่หลุดพ้นจากความคิดซ้ำซากจำเจเกี่ยวกับฆาตกรต่อเนื่องและ Slenderman ที่มักจะแพร่หลายในแฟนด้อม Creepypasta แม้ว่าแรงจูงใจของผมไม่ใช่เพราะผมเชื่อว่า Slenderman เป็นอันตราย (แต่เหล่าแฟนเกิร์ล Jeff the Killer และภาคแยกต่างๆ ผมว่ามันน่ากังวล—ผมเคยบอกแล้วว่าการโรแมนติไซส์ฆาตกรต่อเนื่องเป็นสิ่งที่ผมไม่สบายใจที่จะโปรโมตผ่านเรื่องรักๆ หรือการใส่ตัวเองเข้าไปในเรื่องที่ส่งกันเข้ามา; ภาคแยกของ Jeff เรื่องเดียวที่ผมให้ผ่านคือเรื่องที่ไม่มีมุมโรแมนติกเลย) แต่เพราะผมมองว่าเว็บไซต์นี้ควรเป็นพื้นที่ให้คนเป็นนักเขียนและนักอ่านที่ดีขึ้น"


          ต่อมาในปี 2015 ในรัฐอินเดียนา เด็กหญิงวัย 12 ปีคนหนึ่งแทงแม่เลี้ยงเสียชีวิต โดยเชื่อว่าตัวละครตัวตลกชื่อ Laughing Jack จากเว็บไซต์ Creepypasta เป็นผู้สั่งให้เธอทำเช่นนั้น เด็กหญิงคนดังกล่าวถูกพบว่ามีอาการผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบแยกส่วน (Dissociative Identity Disorder) เป็นเวลาหลายเดือนก่อนการโจมตี



อิทธิพลทางวัฒนธรรม :

           มีการสร้างภาพยนตร์สั้น, เกม, ภาพยนตร์ฟอร์มยาว และสินค้าเกี่ยวกับ creepypasta จำนวนมาก เช่น Always Watching: A Marble Hornets Story, Slender Man และ Beware the Slenderman ในปี 2023 บริษัทผู้สร้างภาพยนตร์ A24 ได้ประกาศภาพยนตร์เรื่องใหม่ที่อ้างอิงจาก “the Backrooms” แหล่งเรื่องเล่าจาก creepypasta ที่เกิดจากชุดภาพถ่าย โดยผู้สร้างภาพยนตร์จะอ้างอิงโดยตรงจากซีรีส์บน YouTube ที่ทำการสำรวจ Backrooms อย่างละเอียด


           นอกเหนือจากสินค้าและการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์แล้ว ยังมีผลงานแฟนเมดและโลกเรื่องแต่ง/ตำนานร่วมสมัยที่ถูกสร้างขึ้นจาก creepypasta จำนวนมาก เช่น SCP Foundation, the Backrooms  และ The Mandela Catalogue ซึ่งเรื่องหลังเป็นตัวอย่างของหนังสยองขวัญประเภทย่อยที่สืบทอดมาจากหนังสยองขวัญแบบอนาล็อก


           ด้วยความแพร่หลายบนโลกออนไลน์ Creepypasta บางส่วนจึงถูกเก็บเข้าคลังโดย American Folklife Center และเพิ่มเข้าสู่ฐานข้อมูล “digital culture web archive” ภายใต้โครงการจัดเก็บวัฒนธรรมอินเทอร์เน็ตของสหรัฐฯ นักคติชนวิทยาบางคนมองว่า Creepypasta คือรูปแบบใหม่ของ ตำนานในยุคดิจิทัล ขณะที่บางคนมองว่า Creepypasta ส่วนใหญ่คือ Anti-legends — เรื่องเล่าที่คล้ายๆตำนาน แต่ถูกสร้างขึ้นเพื่อท้าทายความคาดหวังของผู้ฟังว่า “ตำนานร่วมสมัยควรเป็นอย่างไร”

 

           ในเดือนพฤษภาคม 2015 บริษัท Machinima, Inc. เคยประกาศแผนจัดทำซีรีส์ไลฟ์แอ็กชั่นบนเว็บกำกับโดย ไคลฟ์ บาร์เกอร์ ชื่อ Clive Barker's Creepy Pasta โดยมุ่งเน้นเรื่อง Slender Man และ Ben Drowned แต่เนื่องจาก Machinima ปิดตัวลง ซีรี่ส์นี้จึงไม่เคยถูกสร้าง


           ซีรี่ส์โทรทัศน์อเมริกัน Channel Zero จากช่อง Syfy แต่ละซีซั่นดัดแปลงมาจาก Creepypasta คนละเรื่อง โดยได้รับแรงบันดาลใจทั้งจากตัวเนื้อเรื่องและ Subreddit ที่เกี่ยวข้อง ผู้กำกับ จอห์น ฟาร์เรลลี ยังเคยวางแผนออกภาพยนตร์ชื่อ The Sleep Experiment ซึ่งดัดแปลงจากเรื่อง The Russian Sleep Experiment ในปี 2020 แต่โปรเจกต์นี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นเช่นกัน

ADS