ประวัติ สเตฟาน โยเวติช

| 01/01/1970 07:00 น. | 726 Views

     อินเตอร์ มิลาน ทีมชั้นนำของกัลโช เซเรีย อา อิตาลี แถลงผ่านเว็บไซต์อย่างเป็นทากงารของสโมสรถึงการคว้าตัว สเตฟาน โยเวติช กองหน้าตัวสำรองของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาร่วมทีมจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2019 เรียบร้อยแล้ว

     ดาวยิงวัย 25 ปี กลายเป็นส่วนเกินในทัพเรือใบสีฟ้า จนต้องตัดสินใจย้ายกลับมาค้าแข้งในลีกแดนมะกะโรนีอีกครั้ง โดยสัญญาของเขาจะเป็นการยืมตัวก่อน 1 ปีครึ่ง จากนั้นจึงค่อยเซ็นสัญญาขาดอย่างถาวร

     "เรามีความยินดีที่จะประกาศการมาถึงของ โยเวติช เขาจะเป็นหนึ่งในผู้เล่นคนสำคัญของทีม และช่วยให้เพิ่มประสิทธิภาพในแนวรุกของเราได้แน่นอน" เอริค ตอฮิร ประธานสโมสรอินเตอร์ กล่าวถึงแข้งป้ายแดงทีมชาติมอนเตเนโกร

     "มันชินี จะสามารถเค้นฟอร์มที่ดีที่สุดของเขาออกมาได้แน่ ยินดีต้อนรับ สเตฟาน ขอให้สนุกกับการเล่นที่อินเตอร์"

ชื่อเต็ม: สเตฟาน โยเวติช 
วันเกิด : 2 พ.ย. 1989 (อายุ 24)
เกิดที่ : ทิโทการ์ด, ยูโกสลาเวีย 
สัญชาติ :มอนเตเนโกร
ส่วนสูง : 183 ซม.
น้ำหนัก : 76 กก.
ตำแหน่ง :กองหน้า
หมายเลขเสื้อ : 35
ทีมชาติ : มอนเตเนโกร
ต้นสังกัดปัจจุบัน : แมนฯ ซิตี้ 

 
วันที่ 9 เมษายน 2006 สเตฟาน โยเวติช ได้มีโอกาสสัมผัสเกมชุดใหญ่อย่างรวดเร็ว ในสีเสื้อปาร์ติซาน ด้วยวัยเพียง 16 ปี หลังจากถูกส่งลงเล่นในเกมที่พบกับเอฟเค วอซโดวัช จากนั้น โยเวติช โชว์ฟอร์มเทพอย่างรวดเร็วในศึกยูฟ่า คัพ รอบคัดเลือก ในวันที่ 2 สิงหาคม 2007 ที่เปิดฉากถล่ม ซรินจ์สกี้ 5-0 ด้วยการกดแฮตทริก ทั้งทีมีอายุเพียง 17 ปี 
 
อีก 2 เดือนถัดมา เจ้าตัวถูกโยงกับทีมยักษ์ใหญ่ในยุโรป ไม่ว่าจะเป็น แมนฯ ยูไนเต็ด และ เรอัล มาดริด ทว่า โยเวติช ยังคงอยู่กับทีมต่อไป พร้อมกับได้เป็นกัปตันทีมในวัยเพียง 18 ปี จนกายเป็นหัวหน้าทีมที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร 

 
วันที่ 10 พฤษภาคม 2008 โยเวติช บ้ายไปค้าแข้งกับฟิออเรนติน่า ทีมดังแห่งเซเรีย อา ด้วยค่าตัวราว 8 ล้านปอนด์ และใช้เวลาเกือบหนึ่งปี กว่าจะเบิกสกอร์แรกให้กับตัวเอง โดยเป็นการทำประตูจากลูกจุดโทษ ในแมตช์กับอตาลันต้า เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2009 
 
ส่วนในซีซั่น 2009-10 เจ้าตัวแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวกับ "วิโอล่า" เริ่มจากการทำประตูให้ทีมในเกมเสมอ สปอร์ติ้ง ลสบอน 1-1 ในศึกยูซีแอล รอบคัดเลือก จากนั้นไอ้หนุ่มผมยาวก็ส่องตาข่ายเจออย่างต่อเนื่อง ทั้งในแมตช์เซเรีย อา ที่เจอกับปาแลร์, ซามพ์โดเรีย และ ลิวอร์โน่ รวมถึงเหมาคนเดียว 2 เม็ด ในศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งไล่ต้อนลิเวอร์พูล 2-0 และอีก 2 ลูกในเกมชนะบาเยิร์น 3-2 

 
อย่างไรก็ตาม โยเวติช เจออการบาดเจ็บหัวเข่าเล่นงานอย่างหนักในช่วงปรี-ซีซั่น 2010-11 ส่งผลให้ดาวรุ่งมอนเตเนโกร ต้องใช้เวลาพักฟื้นตลอดฤดูกาลดังกล่าว แต่กองหน้าอนาคตไกล กลับมาได้อย่างแข็งแกร่งในปีถัดมา พร้อมกับกระทุ้งคนเดียว 2 เม็ด ในแมตช์ถล่มปาร์ม่า 3-0 อีกทั้งเจ้าตัวได้รับการขยายสัญญาให้อยู่โยงกับทีมไปจนถึงปี 2016 

 
หลังจากนั้น โยเวติช ระเบิดตาข่ายให้ทีมได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการยิงอีก 2 ลูกในเกมทุบโนวาร่า 3-0 เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2012 รวมถึง 2 ประตูจากลูกจุดโทษในเฉือน อูดิเนซ่ 3-2 ทว่าเด็กหนึ่มจากยูโกสลาฟ เท้าบอดแบบไม่ทราบสาเหตุ โดยสะกดประตูไม่เจอร่วม 2 เดือน กระทั่งมาปลดล็อดซัด 1 ตุง ในนัดเชือดเอซี มิลาน 2-1 เมื่อวันที่ 7 เมษายน 

 
วันที่ 19 กรกฏาคม "โยโย่" ตัดสินใจหันไปหาความท้าทายใหม่ๆ กับแมนฯ ซิตี้ ยักษ์ใหญ่แห่งเกาะอังกฤษ โดยฝากผลงาน 35 ประตู จากการลงเล่นให้ฟิออเรนติน่า 116 นัด ส่วนการย้ายทีมครั้งนี้ ฝั่ง "วิโอล่า" ได้ค่าฉีกสัญญาราว 22 ล้านปอนด์ ซึ่งดาวยิงความหวังใหม่แห่งถิ่นเอติฮัด ได้สวมเสื้อเบอร์ 35 ก่อนจะได้ออกสตาร์ทเป็นเกมแรกในนัดเจ๊าสโต๊ค 0-0 ในวันที่ 14 กันยายน และยิงประตูแรกให้ทีมได้ในแมตช์ยำวีแกน 5-0 ในศึกลกี คัพ ขณะที่ประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ของเจ้าตัวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 มกราคม เป็นนัดบุกทุบสเปอร์ส 5-1 และล่าสุดเจ้าตัวก็ยิงประตูให้ทีมในเกมเอฟเอ คัพ ที่ล้างแค้นชนะเชลซี 2-0 

ADS