ประวัติ เจมส์ มิลเนอร์

| 01/01/1970 07:00 น. | 525 Views

     

     เจมส์ มิลเนอร์ อดีตมิดฟิลด์จอมขยันของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดตัวเป็นนักเตะใหม่ของลิเวอร์พูลอย่างเป็นทางการอีกราย โดยจะสวมเสื้อหมายเลข 7 ลงเล่นเหมือนกับสมัยค้าแข้งอยู่เรือใบสีฟ้าอีกด้วย

     ดาวเตะวัย 29 กะรัต ถูกหงส์แดงคว้าตัวมาเสริมทัพเป็นรายแรกของตลาดซัมเมอร์นี้แบบไม่มีค่าตัว หลังหมดสัญญาค้าแข้งในถิ่นเอติฮัด สเตเดี้ยม เมื่อช่วงจบฤดูกาลที่ผ่านมา

     "มันเป็นความรู้สึกที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก" แข้งดีกรีติดทัพสิงโตคำราม กล่าวกับ liverpoolfc.com

     "มันเป็นเรื่องใหญ่เสมอกับการย้ายสโมสร โดยเฉพาะการได้เซ็นสัญญากับยอดทีมอย่างลิเวอร์พูลซึ่งเป็นทีมที่มีประวัติศาสตร์มากมาย มันถือเป็นเรื่องดีที่ผมได้อยู่ที่นี่ ช่วงซัมเมอร์คุณมักจะคิดถึงความก้าวหน้าใหม่ มันจึงเยี่ยมสุดๆไปเลยที่ผมตัดสินใจมากอยู่ที่นี่"

     "ผมเคยใส่เบอร์ 7 ตอนที่อยู่กับแมนฯ ซิตี้ แต่กับที่ลิเวอร์พูลคุณสามารถจะเลือกสวมเบอร์อะไรก็ได้ เพราะล้วนเป็นเบอร์ที่ผู้เล่นชั้นยอดเคยใส่มาแล้วทั้งนั้น ผมรู้ดีว่าหมายเลข 7 ถือเป็นหมายเลขพิเศษของสโมสรแห่งนี้มากๆ และผมก้หวังว่าจะสามารถเป็นหนึ่งในนักเตะคนพิเศษของทีมให้ได้"

ชื่อเต็ม : เจมส์ มิลเนอร์
วันเกิด : 4 มกราคม 1986
เกิดที่ : ลีดส์, อังกฤษ
สัญชาติ : อังกฤษ
ส่วนสูง : 175 เซนติเมตร
ตำแหน่ง : กองกลาง

ประวัติส่วนตัว

          เจมส์ มิลเนอร์ (เกิด 4 มกราคม 1986) นักฟุตบอลอาชีพชาวอังกฤษ โดยเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ให้กับสโมสร แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และทีมชาติอังกฤษ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยค้าแข้งกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด, สวินดอน ทาวน์, นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด และ แอสตัน วิลล่า

เส้นทางในอาชีพการค้าแข้ง

ลีดส์ ยูไนเต็ด (2002-2004)

          มิลเนอร์ ลงสนามกับ "ยูงทอง" เป็นครั้งแรกในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2002 พบกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด โดยลงสนามเป็นสำรองแทนที่ของ เจสัน วิลค็อกซ์ ในช่วงหกนาทีสุดท้ายของเกม และทำให้เขาเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดอันดับสองที่ลงเล่นในศึกพรีเมียร์ลีก ด้วยวัยเพียง 16 ปีกับอีก 309 วัน โดยในวัน บ็อกซิ่งเดย์ เขากลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่สามารถยิงประตูได้ในพรีเมียร์ลีก ด้วยอายุ 16 ปีกับอีก 356 วัน และช่วยให้ทีมเอาชนะ ซันเดอร์แลนด์ ไปได้ 2-1 ทำลายสถิติเดิมของ เจมส์ วอห์น แข้งเยาวชนจากสโมสร เอฟเวอร์ตัน

          หลังจากลงสนามช่วยทีมมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาได้รับรางวัลด้วยการต่อสัญญาไปอีก 5 ปีในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2003 ซึ่งหลังจากนั้นเข้าสู่ฤดูกาล 2003-04 เขาได้ถูกปล่อยยืมให้กับ สวินดอน ทาวน์ ทีมใน ลีก ทู ใช้งานเพื่อเก็บประสบการณ์ในฐานะผู้เล่นตัวจริงเป็นเวลา 1 เดือน ซึ่งได้ลงเล่นถึง 6 เกมและยิงได้ 2 ประตูกับ ปีเตอร์โบโร่ ยูไนเต็ด และ ลูตัน ทาวน์

          อย่างไรก็ดีเส้นทางของ ลีดส์ ยูไนเต็ด ไม่สู้ดีนักเพราะมีปัญหาเรื่องการเงินและทำให้ทีมต้องปล่อยนักเตะตัวเก่งออกจากทีม เพื่อหาเงินมาทำทีมต่อไป ซึ่ง มิลเนอร์ เองก็ยังอยู่ในแผนการทำทีมเนื่องมาจากการที่เขาเป็นเด็กปั้นของสโมสร จึงสามารถอยู่ช่วยทีมต่อไปได้ แต่แล้วก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก เมื่อทีมต้องตกชั้นหลังจบฤดูกาลดังกล่าว ซึ่งเขาได้รับความสนใจจาก ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์, แอสตัน วิลล่า และ เอฟเวอร์ตัน โดยเขาปฏิเสธข้อเสนอทั้งหมดที่ยื่นมา เพราะทางสโมสรยืนยันว่า "เขาคืออนาคตของ ลีดส์"

          แต่ในท้ายที่สุดปัญหาการเงินในสโมสรบานปลายจนทำให้ มิลเนอร์ ถูกขายให้กับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัวราว ๆ 3.6 ล้านปอนด์ (ประมาณ 191 ล้านบาท) แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่มีความสุขกับการที่สโมสรปล่อยตัวเขาออกจากทีมก็ตาม ซึ่งในวันเดือน กรกฎาคม 2004 เขาได้ตกลงเซ็นสัญญากับ "สาลิกาดง" เป็นเวลา 5 ปีด้วยกัน

นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด (2004-2005)

          มิลเนอร์ ลงสนามเป็นนัดแรกให้กับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ในระหว่างทัวร์ปรี-ซีซั่นที่เอเชีย และยิงประตูแรกได้ในเกมที่เสมอกับ คิตฉี 1-1 โดยเขาลงสนามเป็นเกมแรกในพรีเมียร์ลีก พบกับ มิดเดิ้ลสโบรช์ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2004 ซึ่งเขาระเบิดฟอร์มในการเล่นเป็นปีกขวาได้อย่างสุดยอด แม้ว่าเขาจะเล่นเป็นปีกซ้ายในสมัยที่อยู่กับ ลีดส์ ก็ตาม

          อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของ มิลเนอร์ ต้องเปลี่ยนไปอีกครั้ง หลังจากการเข้ามาคุมทีมของ แกรม ซูเนสส์ ทำให้เขาได้รับโอกาสลงสนามเพียง 13 เกม และยังไม่ได้เล่นเป็นตัวจริงในพรีเมียร์ลีกของ นิวคาสเซิ่ล อีกด้วยจนกระทั่งถึงเดือน เมษายน 2005 ซึ่งหลังจบฤดูกาลเขาลงสนามให้ทีมทั้งสิ้น 41 นัดในทุกรายการและยิงประตูเพียง 1 ลูกเท่านั้น แน่นอนว่าเขาไม่อยู่ในรายชื่อ 11 ผู้เล่นตัวจริงของ ซูเนสส์

          ในช่วงเริ่มต้นฤดูกาล 2005-06 มิลเนอร์ อยู่ในเงื่อนไขการเซ็นสัญญา นอลเบร์โต้ โซลาโน่ จาก แอสตัน วิลล่า ซึ่งเขาจะต้องถูกปล่อยยืมเป็นเวลาหนึ่งซีซั่นไปยังสโมสร "สิงห์ผงาด" ซึ่งในขณะนั้น เดวิด โอ'เลียรี ผู้ที่เคยทำงานร่วมกับ มิลเนอร์ สมัยที่อยู่กับ ลีดส์ นั่งแท่นเป็นกุนซืออยู่ ทำให้เขามีความสุขมากในดีลครั้งนี้ และหวังว่า แอสตัน วิลล่า จะดึงตัวเขาไปร่วมทัพอย่างจริงจัง

แอสตัน วิลล่า (2005-2006) - ยืมตัว

          มิลเนอร์ ลงสนามเปิดตัวกับ วิลล่า เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2005 ในศึกพรีเมียร์ลีกพบกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ซึ่งหลังจากนั้น 5 วันต่อมา เขาสามารถทำประตูแรกได้เลย ให้ทีมเสมอกับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 1-1 และอย่างที่ทราบกันดีว่าเขาพยายามที่จะแสดงผลงานให้ดี เพื่อให้ วิลล่า ยื่นข้อเสนอซื้อขาดเขากับทาง นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด

          แต่ภายหลังจากที่สโมสรต้นสังกัดเดิมของเขามีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมอีกครั้ง ทำให้เขากลับมาเป็นผู้เล่นในแผนการทำทีมของ เกล็นน์ โรเดอร์ กุนซือคนใหม่ และยืนยันที่จะไม่ปล่อยตัวเขาออกจากทีม แม้ว่าจะมีข้อเสนอจากทาง แอสตัน วิลล่า ถึง 4 ล้านปอนด์ (ประมาณ 213 ล้านบาท) แต่ทางสโมสรได้ปฏิเสธข้อเสนอนี้และเรียกตัวเขากลับมาสู่ทีม

นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด (2006-2008)

          เกล็นน์ โรเดอร์ ผู้เล่นผู้จัดการทีมของ นิวคาสเซิ่ล มีแนวโน้มที่ดีกับตัวของ มิลเนอร์ ในการกลับมาเล่นในฤดูกาล 2006-07 แม้ว่าผลงานในลีกของเขากับทีมอาจจะไม่ดีนัก แต่เขาเป็นคีย์แมนในการพาทีมผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่ม ยูฟ่า คัพ ในขณะที่เขามีข่าวลือค่อนข้างหนักเกี่ยวกับการซื้อ-ขายในช่วงตลาดหน้าหนาวเดือนมกราคม

          ในวันที่ 1 มกราคม 2007 มิลเนอร์ ซัดประตูแรกของฤดูกาลในเกมที่เสมอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-2 จากการยิงไกลกว่า 25 หลา ซึ่งต่อมา โรเดอร์ ค่อนข้างยกย่องในความพยายามของ มิลเนอร์ เป็นอย่างมากจากการฝึกซ้อมอย่างหนัก และเชื่อว่าเขาเป็นนักเตะที่ทุ่มเทในเวลาซ้อมมากที่สุด โดยเขาได้รับการต่อสัญญาเพิ่มไปถึงปี 2011 ในเดือนพฤษภาคม 2007

          น่าสนใจที่การเข้ามาคุมทีมของ แซม อัลลาร์ไดซ์ ทำให้เขามีความสุขมากขึ้น เพราะทางยอดกุนซือบอกว่าเขาเป็นนักเตะที่ลงซ้อมได้ที่สุดนับตั้งแต่ที่ได้มาอยู่ที่นี่ โดยต่อมาในเดือนตุลาคม เขาสามารถซัดประตูลูกที่ 500 ในบ้านให้กับ นิวคาสเซิ่ล ได้ในเกมที่เอาชนะ สเปอร์ส 3-1

          จนกระทั่งในช่วงท้ายฤดูกาล เขาได้รับบาดเจ็บหนักที่บริเวณเท้าและทำให้ชวดลงสนามถึง 9 เกม ซึ่งในขณะนั้นมีข่าวลือหน้าหูว่า ลิเวอร์พูล กำลังติดต่อเจรจาขอคว้าตัวเขาไปร่วมทีม แต่สุดท้ายดีลนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้น

แอสตัน วิลล่า (2008-2010)

          มิลเนอร์ เซ็นสัญญาร่วมทัพกับ แอสตัน วิลล่า เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2008 ด้วยค่าตัวราว ๆ 12 ล้านปอนด์ (ประมาณ 638 ล้านบาท) ด้วยระยะเวลาสัญญายาวนานกว่า 4 ปี โดยเขาลงสนามเป็นเกมแรกในวันที่ 31 สิงหาคม 2008 ซึ่งลงสนามเป็นตัวสำรองในเกมที่พบกับ ลิเวอร์พูล สำหรับประตูแรกของเขากับทีมหลังการร่วมงานกันหนที่สอง เกิดขึ้นในเกม เอฟเอ คัพ รอบสาม ด้วยการยิงคนเดียวสองประตูให้ทีมเอาชนะ จิลลิ่งแฮม 2-1 ในวันเกิดครบรอบ 23 ปีของเขาพอดี (4 มกราคม 2009)

          ในช่วงฤดูกาล 2009-10 มิลเนอร์ ถูกโยกไปเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลาง หลังจากที่กัปตันทีมอย่าง แกเร็ธ แบร์รี่ ย้ายไปร่วมทัพ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งหลังจากจบฤดูกาล เขาทำประตูไปทั้งสิ้น 12 ลูกและถูกโหวตให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีจากผลโหวตของแฟนบอลและรางวัล ผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีจากการโหวตของ พีเอฟเอ (สมาคมนักฟุตบอลอาชีพ)

          เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2010 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยื่นข้อเสนอซื้ตัว มิลเนอร์ ด้วยจำนวนเงินกว่า 20 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,064 ล้านบาท) แต่ก็ถูกปฏิเสธไป จนกระทั่งในวันที่ 14 สิงหาคม แอสตัน วิลล่า ได้ตัดสินใจปล่อยตัวเขาให้กับ "เรือใบสีฟ้า" หลังจากที่ มาร์ติน โอ'นีลล์ พูดกับ มิลเนอร์ ว่า เขาเหมาะสมแล้วที่จะไปเล่นในสโมสรที่ใหญ่กว่าและควรไปเล่นให้กับ "ซิตี้"

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (2010-2015)

          ในวันที่ 17 สิงหาคม 2010 มีรายงานว่า แอสตัน วิลล่า ได้ตกลงค่าตัวของ มิลเนอร์ กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แล้วและกำลังจะเข้ารับการตรวจร่างกาย ซึ่งคาดว่าค่าตัวน่าจะอยู่ที่ราว ๆ 26 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,383 ล้านบาท) โดยมีการส่ง สตีเฟ่น ไอร์แลนด์ เป็นส่วนหนึ่งในเงื่อนไขการย้ายครั้งนี้อีกด้วย

          มิลเนอร์ ลงสนามเปิดตัวอย่างเป็นทางการกับ "ซิตี้" เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2010 ในเกมที่เปิดบ้านเอาชนะ ลิเวอร์พูล 3-0 และสำหรับประตูแรกเกิดขึ้นในเกมที่เสมอกับ เลสเตอร์ ซิตี้ 2-2 ในรอบสามศึก เอฟเอ คัพ ด้วยการประสานงานกับเพื่อนร่วมทีมเก่าอย่าง แกเร็ธ แบร์รี่

          ส่วนประตูแรกของเขากับทีมใหม่ในศึกพรีเมียร์ลีก เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2011 เป็นการพบกับทีม เอฟเวอร์ตัน และหลังจากนั้นสองเกมต่อมา เขาสามารถซัดประตูที่สองในการพบกับทีมเก่าอย่าง แอสตัน วิลล่า ซึ่งเป็นทาง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เอาชนะไปได้ 4-1 โดยฤดูกาลนั้นเขาลงสนามในลีกให้กับทีมถึง 26 เกมและยังเป็นส่วนหนึ่งให้ทีมความแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในรอบ 44 ปีอีกด้วย

          เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2012 มิลเนอร์ ซัลโวประตูแรกของฤดูกาล 2012-13 จากลูกฟรีคิกย้ำชัยให้ทีมถล่มเอาชนะ ซันเดอร์แลนด์ ไปได้ 3-0 นอกจากนี้ในวันที่ 20 ตุลาคม เขาได้รับใบแดงแรกในชีวิตการค้าแข้งจากเกมที่ทีมเอาชนะ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 2-1

          ในวันที่ 10 ธันวาคม 2013 มิลเนอร์ ซัดประตูชัยให้ทีมเอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค 3-2 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่สนาม อัลลิอันซ์ อารีน่า และทำให้เขากลายเป็นนักเตะอังกฤษคนแรกที่ยิงประตูให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในรายการนี้เมื่อฤดูกาล 2013-14

          หลังจบฤดูกาล 2014-15 เขาหมดสัญญากับทางสโมสร แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และเป็นทางด้านของ ลิเวอร์พูล ที่ดึงตัวเขามาร่วมทัพในวันที่ 4 มิถุนายน 2015

ลิเวอร์พูล (2015-ปัจจุบัน)

          และแล้ว ลิเวอร์พูล ก็สามารถคว้าตัว มิลเนอร์ มาร่วมทัพจนได้ หลังเคยตกเป็นข่าวสนใจเมื่อ 5-6 ปีก่อน โดยเป็นการเซ็นสัญญาแบบไร้ค่าตัว 7 สิงหาคม 2015 เจมส์ มิลเนอร์ ถูกแต่งตั้งให้เป็นรองกัปตันทีมของ ลิเวอร์พูล ซึ่ง ร็อดเจอร์ส คงมองว่าประสบการณ์ของเขาน่าจะช่วยทัพ ''หงส์แดง'' ชุดนี้ได้ไม่มากก็น้อย เกมแรกในสีเสื้อ ลิเวอร์พูล ของ มิลเนอร์ เกิดขึ้นในเกมที่พบกับ สโต๊ค ซิตี้ ซึ่ง ลิเวอร์พูล บุกไปเอาชนะได้ถึง บริทานเนีย 1-0


     มิลเนอร์ ลงเล่นในฐานะกัปตันทีมของ ลิเวอร์พูล เกมแรกในเกมที่เสมอกับ อาร์เซน่อล ไป 0-0 และประตูแรกของเจ้าตัวในสีเสื้อ ''แดงเพลิง'' เกิดขึ้นเมื่อ 26 กันยายน 2015 ซึ่งเป็นเกมที่ ลิเวอร์พูล เปิด แอนฟิลด์ เอาชนะ แอสตัน วิลล่า ซึ่งเป็นสโมสรเก่าของเขาไปได้ 3-2

เกียรติประวัติ

ระดับสโมสร

แมนเชสเตอร์ ซิตี้

- แชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ : 2011-12, 2013-14
- แชมป์ เอฟเอ คัพ : 2010-11
- แชมป์ คอมมูนิตี้ ชิลด์ : 2012
- แชมป์ ลีก คัพ : 2013-14

ส่วนตัว

- ผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของ PFA : 2009-10
- ผู้เล่นพรีเมียร์ลีกยอดเยี่ยมแห่งปีของ PFA : 2009-10

ADS