ประวัติศาสตร์ที่ถูกซ่อนเร้น เมื่อทหารอเมริกันเจอบิ๊กฟุตในสงครามเวียดนาม
ในช่วงปีแห่งสงครามเวียดนาม มีรายงานประหลาดเริ่มเล็ดลอดกลับมาจากทหารอเมริกันแนวหน้า—เรื่องเล่าถึงการเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่ถูกขนานนามว่า
“บิ๊กฟุตแห่งเวียดนาม” Hidden History คือชุดบันทึกที่พาผู้อ่านย้อนรอยเรื่องราวซึ่งถูกลืม หรือแทบไม่เคยถูกกล่าวถึงในหน้าประวัติศาสตร์
สมรภูมิรอบในเวียดนาม และเงามืดในป่าลึก :ทศวรรษ 1960 สหรัฐอเมริกาหันสายตาไปยังประเทศเล็กๆ ชื่อว่าเวียดนาม หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ดินแดนนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง—เหนือที่ได้รับการสนับสนุนจากคอมมิวนิสต์ และใต้ที่มีสหรัฐหนุนหลัง เวียดนามผ่านสงครามมาหลายทศวรรษ ทั้งเพื่อปลดแอกจากฝรั่งเศส และเพื่อรวมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
เดือนสิงหาคม ปี 1964 เรือพิฆาตสหรัฐสองลำในอ่าวตังเกี๋ยอ้างว่าถูกโจมตีโดยเรือปืนของเวียดนามเหนือ ประธานาธิบดีลินดอน จอห์นสัน ตอบโต้ด้วยการโจมตีทางอากาศ และส่งนาวิกโยธินขึ้นฝั่งยึดจุดยุทธศาสตร์ การแทรกแซงนี้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จนถึงจุดสูงสุดมีทหารอเมริกันมากกว่าครึ่งล้านนายในเวียดนาม และเมื่อสหรัฐถอนตัวในปี 1972 มีทหารกว่า 3 ล้านนายที่เคยผ่านสมรภูมินี้
แต่ศัตรูของสหรัฐไม่ได้มีเพียงเวียดกงหรือกองทัพเวียดนามเหนือภูมิประเทศเองก็เป็นศัตรูเช่นกัน
ภูเขาสูงชัน ป่าดิบทึบที่แทบไม่มีทางฝ่า ทุ่งนาน้ำท่วม แม่น้ำเชี่ยว ฝนที่เทลงมาไม่หยุด และความร้อนที่แผดเผา เวียดนามจำนวนมากแทบไม่มีผู้คนอาศัย และยังไม่เคยถูกสำรวจ โดยเฉพาะพื้นที่ที่ราบสูงตอนกลางซึ่งทอดข้ามพรมแดนกัมพูชา—ดินแดนกันดารที่กองโจรมักล่าถอยเข้าไป และเป็นหน้าที่ของทหารอเมริกันที่จะต้องติดตาม
เงาร่างสีแดงในเงาป่า :ไม่นานหลังการมาถึงของทหารอเมริกัน เรื่องเล่าประหลาดเริ่มแพร่สะพัดทหารแนวหน้าหลายหน่วยรายงานว่าพบ วานรขนาดใหญ่มีขนสีแดงอมส้ม ซุ่มอยู่รอบค่าย แม้รายละเอียดจะแตกต่างกัน แต่คำบอกเล่าส่วนใหญ่ตรงกันว่า มันสูงราวๆ 6 ฟุต ขนยาวสีแดง แขนยาวผิดสัดส่วน เดินบนพื้นดิน และเดินสองขา
ในตอนแรก เรื่องเหล่านี้อาจถูกมองว่าเป็นภาพหลอนของชายหนุ่มที่หวาดกลัวในดินแดนแปลกหน้า—อาจแค่ลิงอุรังอุตังก็ได้แต่มีปัญหาเพียงอย่างเดียวคือเวียดนามไม่มีอุรังอุตัง หรือวานรใหญ่ชนิดใดเลย สัตว์ไพรเมตที่ใหญ่ที่สุดในประเทศคือ ชะนีแก้มขาว สูงเพียงประมาณ 3 ฟุต และมีสีดำหรือสีอ่อน ไม่ใช่สีแดง
ลิงหิน :บางรายงานก็ชวนสยอง หน่วยลาดตระเวนหนึ่งพบศพทหารหลายรายที่ดูเหมือนถูกฉีกกระชากโดยสัตว์ทรงพลังหลายคำบอกเล่ากล่าวว่าสิ่งมีชีวิตนี้ โจมตีทหาร หรือขว้างก้อนหินขนาดใหญ่ใส่พวกเขาจนกลายเป็นที่มาของชื่อที่ทหารใช้เรียกมันว่า “Rock Apes” หรือ วานรหิน
สถานีดักฟังวิทยุแห่งหนึ่งใกล้ดานัง ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงชัน พบการเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้บ่อยครั้ง จนพื้นที่นั้นถูกเรียกว่า “Monkey Mountain” หรือภูเขาลิง
เชลยศึกเวียดนามบางคนเล่าว่า ทั้งทหารเวียดนามเหนือและเวียดกงเองก็เคยพบสิ่งมีชีวิตนี้เช่นกันชาวพื้นเมืองในที่ราบสูง—ดินแดนที่แทบไม่มีใครเข้าถึง—เริ่มเล่าเรื่องของ “ผู้คนแห่งป่า” ที่พวกเขาเรียกว่า moi, batutut หรือ ujit
เรื่องเล่าที่เก่าแก่กว่าสงคราม :นักวิจัยบางคนค้นพบรายงานของมิชชันนารีฝรั่งเศสตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1820 ซึ่งกล่าวถึง “วานรมนุษย์” นักมานุษยวิทยาชื่อ Paul D’Enjoy ถึงกับอ้างในหนังสือปี 1895 ว่าเคยจับสิ่งมีชีวิตนี้ได้ และอธิบายว่าเป็น “เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีหาง” อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้นำหลักฐานกลับมาเลย ทั้งแบบมีชีวิตอยุ่หรือซากที่ตายแล้ว และคำกล่าวอ้างของเขาถูกนักวิชาการคนอื่นเย้ยหยัน ทหารฝรั่งเศสในช่วงสงครามอาณานิคมหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ก็มีรายงานการพบเห็นด้วยเช่นกัน
ความเป็นไปได้… หรือเพียงเงาของตำนาน?เป็นไปได้หรือไม่ว่า ป่าเวียดนามอันห่างไกล ยังซ่อนวานรขนาดใหญ่ที่วิทยาศาสตร์ไม่เคยรู้จัก? ในปี 2019 นักชีววิทยาค้นพบ กวางหนูเวียดนาม ที่เชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้วกว่า 30 ปี และในปี 2017 โลกเพิ่งยืนยันการมีอยู่ของอุรังอุตังสายพันธุ์ใหม่ในสุมาตรา มีความเป็นไปได้เล็กน้อยว่า วานรหินนี้อาจเป็น กลุ่มหลงเหลือของอุรังอุตังโบราณ ฟอสซิลระบุว่าอุรังอุตังสายพันธุ์ Pongo hooijeri เคยอาศัยในเวียดนาม แต่สูญพันธุ์ไปเมื่อราว 120,000 ปีก่อน พฤติกรรมอย่างการขว้างหิน การโบกไม้ หรือการปกป้องครอบครัวโดยตัวผู้ ล้วนพบได้ในวานรใหญ่จริง
เมื่อเรื่องเล่ากลายเป็นคำสั่งจากกองทัพ :กระแสรายงานมีมากเสียจนในปี 1974 นายพลแห่งกองทัพประชาชนเวียดนามถึงกับ สั่งการให้จัดคณะสำรวจอย่างเป็นทางการเพื่อจับและศึกษาสิ่งมีชีวิตเหล่านี้แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงเหมือนเดิมไม่พบหลักฐานที่ยืนยันได้แม้แต่น้อย โดยก่อนหน้านั้น อาจารย์ชาวเวียดนามคนหนึ่งเคยทำการศึกษาโดยลำพังเขาพบรอยเท้าที่ไม่ใช่มนุษย์ และถึงขั้นหล่อรอยเท้าเหล่านั้นด้วยปูนซีเมนต์แต่หลักฐานดังกล่าวก็ไม่สามารถชี้ชัดถึงตัวตนของสิ่งมีชีวิตปริศนาได้
ภาพหลอน…หรือความจริงที่ถูกบิดเบือน?คำอธิบายอีกด้านหนึ่งมองว่า "วานรหิน" อาจเป็นเพียงภาพหลอนของทหาร สาเหตุอาจมาจากการใช้กัญชา ซึ่งเป็นที่แพร่หลายในช่วงสงครามเวียดนามหรือจากสภาพสุดขั้ว ความร้อนที่แผดเผา ความเครียดสะสม การอดนอน และความหวาดระแวงในป่าที่ไม่รู้จัก
เว็บไซต์ Visitcryptoville.com ได้สัมภาษณ์ทหารผ่ารศึกที่เคยมีประสบการณ์เผชิญหน้ากับ "วานรหิน" ในสงครามเวียดนามมาแล้ว
บทสัมภาษณ์ของ จ่าสิบเอกโทมัส เอ็ม. เจนกินส์ (ปลดประจำการ) ซึ่งถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนในเวียดนามเมื่อปี 1969 เขาเล่าว่า วันหนึ่งเขาเห็น ฝูงวานรขนาดใหญ่ขว้างก้อนหินใส่กองทหารของเขาและนั่นคือเหตุผลที่ทหารเรียกสัตว์เหล่านี้ว่า “Rock Apes” — วานรขว้างหิน
ในอีกเหตุการณ์หนึ่งฝูงวานรเหล่านี้ถึงกับ โยนนาวิกโยธินคนหนึ่งตกลงจากกองหินทำให้ทหารทุกคนระมัดระวังพวกมันเป็นอย่างมาก
นักชีววิทยาอาจบอกคุณว่าในป่าดงดิบเหล่านั้นมีวานรและสัตว์ใกล้เคียงอาศัยอยู่หลายชนิดแต่เจนกินส์ยืนยันว่า หลายครั้งพวกเขาเผชิญหน้ากับวานรที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เขากล่าวว่า: “มันล่ำกว่า สีเข้มกว่า และมีกล้ามเนื้อมากกว่า สิ่งมีชีวิตชนิดนี้จะปลุกพวกเราตั้งแต่เช้าตรู่ มันพุ่งออกมาจากป่าเข้าสู่ที่โล่งแล้วก็โวยวาย ตะโกน กรีดร้อง เขย่ากำปั้นใส่พวกเราพฤติกรรมของมันดูเป็นมนุษย์อย่างมาก และชัดเจนว่า มันไม่พอใจอย่างยิ่งที่เรามาอยู่ตรงนั้น”ในการสัมภาษณ์รายการ Monster Quest แลร์รี วิลสัน อดีตนักบินเฮลิคอปเตอร์และทหารผ่านศึกเวียดนามได้เล่าประสบการณ์การพบเห็น “บิ๊กฟุตแห่งเวียดนาม” ของเขาเอง : ในช่วงเดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคม ปี 1970 เขากำลังบินภารกิจไปตามหุบเขาลำธาร เมื่อเขาไต่ระดับข้ามสันเขา เมื่อเขาเห็นต้นไม้ที่ใบไม้ร่วงสั่นไหวผิดปกติ จากนั้นเขาเห็นชมนุษย์วานรตัวหนึ่งกำลังเขย่าต้นไม้นั้น
เขาอธิบายว่า : “กะโหลกศีรษะของมันแบนด้านบน มีขนาดประมาณลูกฟุตบอลใบหน้าคล้ายมนุษย์และ ไม่มีหาง” แลร์รียืนยันว่าเขามองเห็นสิ่งมีชีวิตนั้นอย่างชัดเจนและเขาแน่ใจอย่างยิ่งว่ามันคือมนุษย์วานร
ใน จังหวัดคอนตุม (Kontum) ของเวียดนาม ใกล้พรมแดนลาวและกัมพูชา มีรายงานประหลาดจำนวนมากอย่างน่าประหลาดใจจากทหารอเมริกันที่ออกลาดตระเวนพวกเขาอ้างว่าได้พบสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์เสียทีเดียว และก็ไม่ใช่วานรอย่างแท้จริง ชาวบ้านเรียกมันว่า Nguoi Rung หรือแปลตรงตัวได้ว่า “คนป่า” รายงานจาก แกรี ลินเดอเรอร์ (Gary Linderer) กำลังปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนระยะไกลแบบลับสุดยอด ร่วมกับหน่วย 101st Airborne Divisionในหมวดลาดตระเวน 6 นายหลังจากเขาถูกส่งไปยังเวียดนามใต้วันหนึ่ง ขณะฝ่าพงหนาทึบ เขาเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่เขาอธิบายว่า : “ดวงตาลึกอยู่ใต้โหนกคิ้วที่เด่นชัด…สูงราวห้าฟุต แขนยาวและมีกล้ามเนื้ออย่างผิดปกติ มันเดินตัวตรง มีไหล่กว้างและลำตัวหนาแน่น”
ในช่วงท้ายของสงคราม ทั้งทหารเวียดกงและทหารกองทัพเวียดนามเหนือ (NVA) รายงานการพบเห็น วานรยักษ์ที่มีขนสีน้ำตาลแดงจำนวนมากเสียจนฝ่ายเลขานุการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามเหนือต้องมีคำสั่งให้นักวิทยาศาสตร์ลงพื้นที่ตรวจสอบ
รอยเท้าที่ใหญ่เกินมนุษย์ :
ดร. โหว กุ๋ย (Dr. Vo Quy) นักปักษีวิทยาและนักวิจัยสิ่งแวดล้อมชื่อดังจากฮานอยค้นพบรอยเท้าบนพื้นป่าซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นของวานรยักษ์ เขาทำการหล่อรอยเท้านั้นไว้และพบว่ามันกว้างกว่ารอยเท้ามนุษย์และใหญ่เกินกว่าจะเป็นของวานรชนิดใดที่รู้จัก
มุมเล็ก ๆ ของโลกที่วิทยาศาสตร์ไม่รู้จัก :
ในปี 1982นักวิทยาศาสตร์เวียดนามอีกคนหนึ่งตรัน ฮง เวียต (Tran Hong Viet)ค้นพบรอยเท้าเพิ่มเติมซึ่งนำไปสู่การลงพื้นที่ของนักสัตววิทยาชื่อดังจอห์น แม็คคินนอน (John MacKinnon) แม็คคินนอน เรียกพื้นที่แห่งนี้ว่า “มุมเล็ก ๆ ของโลกที่บริสุทธิ์และยังไม่เป็นที่รู้จักของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่”
ย้อนกลับไปในปี 1969 แม็คคินนอน เคยพบรอยเท้าคล้ายมนุษย์ในป่าบอร์เนียวซึ่งชาวบ้านเรียกว่า Batatut แม้ว่าหลักฐานส่วนใหญ่จะเป็นเพียงคำบอกเล่าแต่แม็คคินนอน ผู้มีผลงานค้นพบสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสายพันธุ์ใหม่หลายชนิดในเวียดนามเชื่อว่าความเป็นไปได้ของวานรสายพันธุ์ที่ยังไม่ถูกค้นพบไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน
แต่ความสงสัยยังคงอยู่ :
ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีความเคลือบแคลงสงสัย ในเรื่องเล่าของลิงหินนี้ มันมีปัญหาเช่นเดียวกับบิ๊กฟุตและเยติ—มีแต่คำบอกเล่า ไม่มีหลักฐานจับต้องได้
รายงานยุคฝรั่งเศสกล่าวถึง หาง (ซึ่งวานรใหญ่ไม่มี) ขณะที่รายงานยุคอเมริกันกลับบอกว่า ไม่มีหาง และเดินสองขาที่สำคัญ เรื่องนี้เกิดขึ้นไม่นานหลังบิ๊กฟุตกลายเป็นกระแสในสหรัฐเป็นไปได้ว่าความเชื่อและสื่อได้หล่อหลอมจินตนาการของผู้พบเห็น
แม้จะมีรายงานว่ามีการยิงมัน หรือพบศพหลังการปะทะแต่ ไม่มีใครนำร่างหรือชิ้นส่วนใดกลับมายังค่ายทหารเลยซึ่งหากมี ปริศนานี้คงจบลงทันที หลังสงคราม เวียดนามส่งคณะสำรวจทางวิทยาศาสตร์เข้าไปหลายครั้งสิ่งเดียวที่พบคือ รอยเท้าที่ไม่อาจระบุได้ และความเงียบงันของป่าลึก












