ประวัติ แจ็ค วิลเชียร์

| 01/01/1970 07:00 น. | 770 Views
     
วิลเชียร์ชี้ต้องหยุดปีร์โล่หากคิดสยบอิตาลี

วิลเชียร์ชี้ต้องหยุดปีร์โล่หากคิดสยบอิตาลี


                 แจ๊ค วิลเชียร์ มิดฟิลด์ทีมชาติอังกฤษประกาศชัดขุนพล "สิงโตคำราม" เตรียมการมาเป็นอย่างดีสำหรับแมตช์เปิดสนาม เวิลด์ คัพ 2014 กับ อิตาลี พร้อมส่งสารถึงเพื่อนร่วมทีมว่าต้องจับตาย อันเดรีย ปีร์โล่ เพลย์เมคเกอร์คู่แข่งหากหวังผลลัพธ์ตามเป้า เพราะเคยมีบทเรียนแล้วในศึก "ยูโร 2012" ที่แข้งผู้ดีเจอเวทย์มนต์ของจอมทัพตัวเก๋าของอัซซูรี่เล่นงานเสียอยู่หมัด

          ย้อนเวลาไปเมื่อ 2 ปีก่อน อังกฤษ เผชิญหน้ากับยอดทีมแดนมะกะโรนีในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ซึ่งเนื้อหาของเกมดังกล่าวเป็นทาง อิตาลี ครอบครองบอลนวดใส่ฝั่งผู้ดีอยู่แทบจะฝ่ายเดียว โดยการชักใยของแม่ทัพอย่าง ปีร์โล่ โดยสุดท้าย อังกฤษ ยื้อฏีกาไปได้ถึงช่วงจุดโทษ แต่ความแม่นเป้าเป็นรองก่อนพ่าย อิตาลี 2-4 

          วิลเชียร์ กองกลางวัย 22 ปีที่เป็นตัวหลักของทีมชาติอังกฤษชุดลุยทัวร์นาเมนต์บนแดนแซมบ้า เชื่อว่าแม้เวลาจะล่วงเลยมาหลายปี ทว่าถึงตอนนี้การทำเกมของ ปีร์โล่ ยังเป็นตัวแปรสำคัญของ อิตาลี เช่นเดิม โดยมิดฟิลด์ ยูเวนตุส ในวัย 35 ซึ่งอาวุโสเป็นรองนายทวาร จานลุยจิ บุฟฟ่อน (36 ปี) คนเดียวในทีมชาติชุดปัจจุบันนั้นลงเล่นให้ ยูเวนตุส 43 นัดเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาและเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญในการพา ยูเว่ คว้าแชมป์ เซเรีย อา ด้วยการเข้าป้ายด้วยคะแนนแตะเลขสามหลัก 102 แต้ม

          "ปีร์โล่คือสุดยอดเพลย์เมคเกอร์ เหตุการณ์ทุกอย่างของ อิตาลี เริ่มต้นจากปลายเท้าของเขาและนั่นคือสิ่งที่เราเคยเผชิญในศึกยูโร เมื่อราว 2 ปีก่อน ซึ่งนัดนั้นเขาเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมและถึงตอนนี้แม้อายุอานามเขาจะมากขึ้น แต่เรารู้ดีว่าฝีเท้าของ ปีร์โล่ ยังเปี่ยมด้วยคุณภาพ ดังนั้นเวลาที่เขาได้บอลเราต้องเข้าบีบเร็ว เพื่อไม่ให้เขาออกบอลได้ถนัด"

          พร้อมกันนั้น วิลเชียร์ ลดความกังวลของแฟนบอลเรื่องอุปสรรคด้านสภาพอากาศ โดยยืนยันว่าทีมชาติอังกฤษเตรียมทีมมาดีและไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงเกี่ยวกับอากาศร้อนใน มานาอุส "เราเตรียมการมาดี เราฝึกหนักในโปรตุเกสและเสริมด้วยการซ้อมโปรแกรมพิเศษเข้าไปอีก จากนั้นเราเดินทางสู่ ไมอามี่ เพื่ออยู่กับสภาพอากาศที่ใกล้เคียงกันมากขึ้น จนถึงตอนนี้เราปรับตัวได้แล้วและรู้สึกพร้อมมาก"

เขียนโดย socceroos

ชื่อ : แจ็ค วิลเชียร์ 
 
เชื้อชาติ : อังกฤษ
 
วันเกิด : 1 มกราคม 1992
 
อายุ : 21 ปี
 
สถานที่เกิด : สตีฟเนจ ,อังกฤษ
 
ส่วนสูง : 172 ซม.
 
ต้นสังกัด : อาร์เซน่อล
 
ตำแหน่ง : กองกลาง



         แจ็ค แอนดรูว์ แกร์รี วิลเชียร์ หรือ แจ็ค วิลเชียร์ เกิดเมื่อ 1 มกราคม 1992 ที่ สตีฟเนจ , ฮาร์ทฟอร์ดเชียร์ เขาเติบโตมาด้วยคำว่ากัปตันทีม โดยเขาเป็นกัปตันทีมของทีมโรงเรียน ไพรออรี และพาทีมแข่งฟุตบอลท้องถิ่น รวมไปถึงถ้วยระดับอำเภอ ตั้งแต่อายุ 7-10 ปี อีกทั้งยังลงแข่งถ้วยระดับชาติรุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี ตั้งแต่เขามีอายุได้ 8 ปีเท่านั้น

         เดือนตุลาคม ปี 2011 วิลเชียร์ เข้าร่วมอคาเดมีของอาร์เซน่อล ตอนนั้นเขามีอายุ 9 ปี เขาใช้เวลาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ 6 ปี จนมาได้เป็นกัปตันทีมรุ่นอายุต่ำกว่า 16 ปีของทีม ตอนที่เขามีอายุได้ 15 ปี ซึ่งตอนนั้นเขาก็ถูกจับไปเล่นในรุ่นอายุ 18 ปีอีกด้วย

        ตอนฤดูร้อนปี 2007 วิลเชียร์ ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมจนทำให้ได้แชมป์รายการ แชมเปียนส์ ยูธคัพ ต่อมาโค้ชของสโมสร สตีฟ เบาลด์ ได้ให้เขาเริ่มเล่นกับทีมอายุไม่เกิน 18 ปี ครั้งแรกโดยแข่งกับเชลซี อายุไม่เกิน 18 ปี

         ต่อมาเขาสามารถทำประตูแรกให้กับทีม 18 ปี ในเกมที่เอาชนะ แอสตัน วิลล่า 4-1 แล้วเขาก็สามารถทำแฮตทริกให้กับทีมได้ในเกมที่พบกับวัตฟอร์ด จนสามารถทำให้ทีมได้แชมป์เยาวชนกลุ่ม เอ ได้สำเร็จ 

          วิลเชียร์ จบฤดูกาลแรกของการเล่นให้กับทีมเยาวชน 18 ปี โดยลงเล่นไป 18 นัด สามารถยิงได้ 13 ประตู ซึ่งขณะนั้นเขามีอายุเพียง 15 ปีเท่านั้น

         กุมภาพันธ์ 2008 เขาลงแข่งทีมสำรองอาร์เซนอลเป็นครั้งแรก เมื่ออายุ 16 ปี โดยแข่งกับเร้ดดิ้ง และ วิลเชียร์ทำประตูได้ด้วย แต่สุดท้ายจบเกมผลก็ออกมาด้วยการเสมอกันไป ต่อมาในเดือนมีนาคมเขาทำประตูในนัดทีมพบกับ เวสต์แฮม โดยยิงบอลโค้งเข้าไปประตูไปอย่างสวยงาม ซึ่งอาร์แซน แวงเกอร์ นายใหญ่ของทีมก็เห็นลูกยิงนั้นด้วย

          ต่อมาเขาสามารถทำประตู 2 ประตูและช่วยส่งให้เพื่อนทำอีก 2 ประตู ในการลงแข่งเพียง 3 เกมให้กับทีมสำรองและในปลายฤดูกาล 2007/08 เขาลงเล่นในทีมชุดอายุไม่เกิน 16 ปี จนสามารถนำชัยชนะในถ้วยเฟอร์โรลี่ คัพ อีกทั้งยังได้ตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมของการแข่งขันครั้งนี้ไปด้วย

         ปี 2009  เขามีบทบาทสำคัญในการทีมเยาวชนของอาร์เซนอล ในชุดลุยศึกเอฟเอฟ ยูธคัพ 2009 โดยทำประตูในรอบรองชนะเลิศ และเกมที่เจอกับลิเวอร์พูล ในนัดชิงชนะเลิศเกมแรกเขาช่วยทีมยิงไป 1 ประตู อีกทั้งส่งให้เพื่อนทำประตูอีก 2 ลูก จนทำให้ได้รับ แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ไปครอง



          กรกฎาคม 2008 วิลเชียร์ ได้ลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ ในนัดกระชับมิตรก่อนเปิดฤดูกาล เขาเล่นนัดแรกให้กับทีมชุดใหญ่ในเกมที่พบกับบาร์เนต โดยลงแทน เฮนรี่ แลนส์บิวรี่ ในครึ่งหลัง และเขาสามารถส่งบอลให้ เจย์ ซิมป์สัน ยิงประตูได้ และ วิลเชียร์ ทำ 2 ประตูแรกในนัดที่อาร์เซนอลชนะ บูร์เกนลันด์ ไป 10–2 และได้ลงสนามอีกครั้งอีก 2 วันต่อมาในนัดกระชับมิตรที่แข่งกับ สตุ๊ตการ์ต



          อาร์แซน เวงเกอร์ กุนซืออาร์เซน่อลห้ โอกาส วิลเชียร์ โดยใส่ชื่อเขาในทีมชุดใหญ่ในฤดูกาล 2009/10 โดยเวงเกอร์ มอบเสื้อหมายเลข 19 ให้กับเขา และกันยายน 2008 วิลเชียร์ ได้เปิดตัวนัดแรกในพรีเมียร์ลีก ในเกมที่พบกับแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ที่อีวูดพาร์ค 

          โดยเขาถูกเปลี่ยนตัวลงไปแทน โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ในนาทีที่ 84 ขณะนั้นเขามีอายุเพียง 16 ปี กับ 256 วัน ซึ่งเป็นสถิตินักเตะที่ลงสนามอายุน้อยที่สุดของสโมสรด้วย 

          วันที่ 23 กันยายน แจ็ค วิลเชียร์ สามารถทำประตูให้กับทีมชุดใหญ่เป็นประตูแรกในเกมที่เอาชนะ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 6-0 ในศึกลีก คัพ และวันที่ 25 พฤศจิกายน 2008 วิลเชียร์ ลงเล่นในรายการ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ในนัดที่เจอกับดินาโม เคียฟ ทำให้กลายเป็นผู้เล่นอายุ 16 ปี คนที่ 5 ที่ได้ลงแข่งในแชมเปียนส์ลีก ต่อมาในเดือนมกราคม 2009 วิลเชียร์ได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพกับทางสโมสรในที่สุด

          ก่อนเปิดฤดูกาล 2009/10 วิลเชียร์ สามารถโชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในศึก เอมิเรตส์ คัพ จนทำให้เขาได้เป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ถึง 2 เกม และ 22 กันยายน 2009 เขาได้ลงเล่นเป็น 11 ตัวจริงให้อาร์เซน่อล ในรายการลีก คัพ และช่วยที่ให้เอาชนะ เวสต์บรอมวิช อัลเบียน 2-0

 

         มกราคม 2010 วิลเชียร์ ถูกโบลตัน ยืมตัวไปใช้งานจนกระทั้งจบฤดูกาล เกมแรกในลีกที่เขาลงเล่นให้โบลตัน คือเกมที่พบกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ส่วนประตูแรกที่ทำให้โบลตันได้นั้นเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2010 โดยเกมนั้นพวกเขาสามารุเอาชนะ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ได้ 2-1

          ฤดูกาล 2010/11 วันที่ 15 สิงหาคม 2010 เขาลงเล่นในพรีเมียร์ลีกอีกครั้งกับอาร์เซน่อล ในเกมที่เจอกับ ลิเวอร์พูล และวันที่ 15 กันยายน วิลเชียร์ ลงเล่นนัดเจอกับแบล็คพูล เขาสามารถส่งบอลให้เพื่อนทำประตูได้ด้วย ต่อมา วิลเชียร์ ลงเล่นเป็นตัวจริงครั้งแรกในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ให้กับปืนใหญ่ เขาโชว์ผลงานได้ดีจน วิลเชียร์ ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของทีมประจำเดือนกันยายน



          วันที่ 16 ตุลาคม วิลเชียร์ โดนใบแดงเป็นครั้งแรกในการเล่นฟุตบอลนับตั้งแต่ขึ้นมาเล่นกับทีมชุดใหญ่ ในเกมที่เจอกับ เบอร์มิงแฮม แต่วันที่ 19 ตุลาคม เขาก็สามารถซัดประตูแรกของตัวเองในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกได้สำเร็จ ในเกมที่เอาชนะ ชัคห์เตอร์ โดเน็ตส์ค 5-1 โดยลูกนั้นเขาชิพข้ามหัวผู้รักษาประตูเข้าไปอย่างสวยงาม

         

           วันที่ 1 พฤศจิกายน วิลเชียร์ ได้เซ็นสัญญาระยะยาวกับอาร์เซน่อล และวันที่ 27 พฤศจิกายน เขาก็สามารถทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ ในเกมที่พบกับ แอสตัน วิลล่า และผลก็จบลงด้วยชัยชนะ 4-2 ต่อมา วิลเชียร์ ได้รับคำชมอย่างล้นหลามในเกมที่พาทีมเอาชนะเหนือ บาร์เซโลน่า 2-1 ซึ่งเกมนั้นเขาส่งผลสำเร็จถึง 93.5% 

         

         เมษายน 2011 วิลเชียร์ ได้รับรางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีก อีกทั้งยังมีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกอีกด้วย พร้อมกับเพื่อนร่วมทีมอย่าง ซาเมียร์ นาสรี่ และ บาการี ซาญา

         ช่วงฤดูร้อนก่อนเข้าสู่ฤดูกาล 2011/12 วิลเชียร์ ได้รับอาการบาดเจ็บบริเวณกระดูกเท้าในระหว่างที่แข่งขันรายการ เอมิเรตส์ คัพ ที่เจอกับนิวยอร์ก เรดบูลส์ วันที่ 26 กันยายน เขาได้เข้ารับการผ่าตัดจนทำให้ต้องพักยาว 4-5 เดือน และในเดือนมกราคมเขาก็ได้รับอาการบาดเจ็บซ้ำที่เดิมจนทำให้พลาดการลงเล่นทั้งฤดูกาล รวมไปถึงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและยูโร 2012 ด้วย

    

          ฤดูกาล 2012/13 หลังจากที่ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ได้ย้ายไปร่วมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในวันที่ 17 สิงหาคม 2012 ทำให้ วิลเชียร์ เปลี่ยนไปสวมเสื้อหมายเลข 10 แทน

          หลังจากที่ วิลเชียร์ บาดเจ็บไปถึง 14 เดือน เขาก็กลับมาซ้อมกับทีมในวันที่ 20 กันยายน 2012 ต่อมาเขากลับมาลงสนามให้กับปืนใหญ่ในวันที่ 27 ตุลาคม ในเกมที่เอาชนะ ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ 1-0 โดยเขาลงเล่นไป 67 นาทีก่อนจะถูกเปลี่ยนตัวออกมา

          19 ธันวาคม 2012 วิลเชียร์ พร้อมเพื่อนร่วมทีมอย่าง อเล็กซ์ ออกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ,คีแรน กิ๊บส์ ,อารอน แรมซี่ย์ และ คาร์ล เจนกินสัน ได้เซ็นสัญญาฉบับใหม่กับทีมออกไป และในวันที่ 16 มกราคม 2013 วิลเชียร์ ได้ซัดประตูโทนใส่ สวอนซี ในศึกเอฟเอ คัพ ในเดือนเมษายน วิลเชียร์ ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปี และสุดท้ายเขาก็ได้รับรางวัลนี้ไป ทำให้เขาได้รางวัลนี้เป็นสมัยที่ 2 ของตัวเอง


          ฤดูกาล 2013/14 วิลเชียร์ ได้ถูกโยกไปเล่นในตำแหน่งปีกซ้ายเนื่องจากปีกซ้ายแต่ละคนของทีมล้วนแต่ได้รับอาการบาดเจ็บกันถ้วนหน้า และประตูแรกในซีซั่นของเขาเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ที่อาร์เซน่อล เสมอกับ เวสต์บรอมวิช 1-1 และเขายิงอีกครั้งในเกมที่เอาชนะ นอริช 4-1 แต่เขาต้องพลาดการลงเล่นในเกมถัดไปกับ คริสตัล พาเลซ เนื่องด้วยเขาได้รับอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้า

  วันที่ 26 พฤศจิกายน เจ้าตัวยิงประตูเปิดหัวให้ทีม ก่อนที่ต้นสังกัดจะเอาชนะโอลิมปิก มาร์กเซย์ 2-0 ในศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม นอกจากนี้ประตูดังกล่าว ยังถูกจารึกว่าเป็นการยิงที่เร็วที่สุดของนักเตะอังกฤษ ในรายการยุโรป ภายหลังที่ วิลเชียร์ ใช้เวลาเพียง 29 วินาที 

 

ADS