ประวัติ คริสเตียโน่ โรนัลโด้

| 01/01/1970 07:00 น. | 3041 Views

     Marca สื่อดังประจำเมืองหลวงของสเปน เปิดเผยว่า ราฟาเอล เบนิเตซ ถูกปลดจากตำแหน่งผู้จัดการทีมเรอัล มาดริด เพราะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยกับ 7 ผู้เล่นในทีม

     ราชันชุดขาวเพิ่งประกาศแยกทางกับนายใหญ่ชาวสแปนิชเมื่อคืนนี้ ทั้งที่เขาเพิ่งเข้ามารับงานเพียง 7 เดือนเท่านั้น พร้อมแต่งตั้ง ซีเนดีน ซีดาน กุนซือทีมชุดกาสตีญาขึ้นมารับตำแหน่งแทน

     ล่าสุดรายงานฉบับนี้ระบุว่า สาเหตุหลักที่ทำให้เอลบอสโดนตะเพิดแบบปุบปับ เนื่องจากเขาซดเกาเหลาชามโตกับ 7 ผู้เล่นในทีมอย่าง เซร์คิโอ รามอส, คริสเตียโน โรนัลโด้, ฮาเมส โรดริเกวซ, คาริม เบนเซมา, อิสโก้, เฆเซ และ เดนิส เชอรีเชฟ

     โดย Marca แจกแจงความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยระหว่าง 7 ผู้เล่นกับราฟา ดังนี้

     รามอส - ราฟาวิจารณ์รามอสออกสื่อหลังเป็นต้นเหตุทำให้ทีมเสียจุดโทษในเกมกับแอต.มาดริด

     โรนัลโด้ - ทั้งสองคนเริ่มไม่กินเส้นกันตั้งแต่เริ่มต้นฤดูกาล หลังราฟาพยายามหลีกเลี่ยงกับการยกย่องปีกชาวโปรตุกีสเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลก ส่วนโรนัลโด้เองก็ไม่เคยปิดบังว่าชอบร่วมงานกับอันเชล็อตติมากกว่า

     ฮาเมส - จอมทัพโคลอมเบียไม่ใช่ผู้เล่นที่ราฟาชื่นชอบนัก หลังมักมีชื่อเป็นตัวสำรองทั้งที่ทำผลงานได้ดี

     เบนเซมา - กองหน้าชาวฝรั่งเศสไม่ชอบใจเอลบอส หลังโดนเปลี่ยนตัวออกตลอดจนเคยออกปากบ่นผ่านสื่อ

     อิสโก้ - กองกลางทีมชาติสเปนแทบไม่ได้รับโอกาสเลยในระยะหลัง หลังได้ลงเล่นเพียง 12 นาที จาก 4 เกมล่าสุด

     เฆเซ - แนวรุกชาวสแปนิชเริ่มต้นเป็นตัวจริงในเกมแรกของฤดูกาล ก่อนหลุดเป็นตัวสำรองยาวและล่าสุดไม่มีชื่อแม้แต่บนม้านั่งสำรองในเกมบุกเสมอบาเลนเซีย

     เชอรีเชฟ - ทั้งคู่ไม่ได้มีปัญหากันโดยตรงแต่ก็พูดคุยกันน้อยมาก จากปัญหาที่ทีมกระเด็นตกรอบโกปา เดล เรย์

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ "จอมสับขาจากโปรตุเกส"
 
     คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดอส ซานโต๊ส อเวโร่ หรือที่เรารูจักกันในนาม คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ปี 1985 ที่เมืองฟันชัล มาเดร่า ประเทศโปรตุเกส โดยครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ที่ควินตา โด ฟาชาล เมืองซานโต อันโตนิโอ ซึ่งเป็นเมืองที่มีประชากรยากจนอาศัยอยู่มาก โรนัลโด้ เริ่มเล่นฟุตบอลบริเวณตามถนนที่นี่ ก่อนที่ พรสวรรค์ที่เต็มเปี่ยม บวกกับทักษะ และความสามารถเฉพาะตัวที่ยอดเยี่ยม สามารถเล่นได้ทั้งปีกขวา และปีกซ้าย จะฉายแวว และสร้างชื่อให้ โรนัลโด้  ได้รับการยกย่องให้ เป็นหนึ่งในนักเตะที่เก่งที่สุดในโลกในปัจจุบันนี้
 
อาชีพนักฟุตบอล
 
1993-2001 : เริ่มต้นอาชีพกับทีมเยาวชน

 
     โรนัลโด้ เริ่มเล่นฟุตบอลในขณะที่อายุเพียง 3 ปีเท่านั้น ก่อนที่จะเริ่มต้นเล่นฟุตบอลอย่างจริงจังในทีมชุดใหญ่ของ ทีม Andorinha เมื่อตอนเขาอายุ 6 ขวบ จากการชักชวนของญาติเขาที่อยู่ในทีมนี้ และยังเป็นทีมที่บิดาของเขาทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลชุดแข่งอีกด้วย พอถึงปี 1995 โรนัลโด้ ตัดสินใจย้ายไปอยู่กับทีม Nacional โดยมีการจ่ายค่าตัวเป็นชุดฟุตบอลและลูกบอล หลังจากช่วย นาซิอองนาล คว้าแชมป์ระดับเยาวชนได้ โรนัลโด้ ในอายุ 12 ปี ก็ได้รับความสนใจจากสโมสรใหญ่ ๆ ของโปรตุเกสมากมาย แต่สุดท้าย โรนัลโด้ เลือกค้าแข้งกับ สปอร์ติง ลิสบอน ทีมโปรดของตัวเอง ในที่สุด
 
2001-2003 : สปอร์ติ้ง ลิสบอน

 
     โรนัลโด้ เริ่มอาชีพค้าแข้งกับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน เมื่อปี 1997 ในทีมระดับเยาวชน ก่อนที่เขาจะค่อยๆ ก้าวขึ้นสู่ชุดใหญ่ได้สำเร็จ  ในปี 2001 ภายหลัง พัฒนาฝีเท้าขึ้นจาก ทีมยู-16, ยู-17, ยู-18 และ ทีมชุดบี ตามลำดับ และเมื่อ อายุ 17 ปี โรนัลโด้ ได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ของ สปอร์ติ้ง เป็นครั้งแรก และยิง 2 ประตู ในเกมที่พบกับ โมไรเรนส์ และเขาก็ยังก้าวไปติดทีมชาติโปรตุเกสชุดอายุต่ำกว่า 17 ปีในศึกชิงแชมป์ยุโรป อีกด้วย
 
     หลังจากโชว์ในศึกฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป ยู-17 ชื่อของโรนัลโด้ ก็กลายเป็นที่รู้จักในนามของดาวรุ่งพุ่งแรงของวงการฟุตบอลโปรตุเกส ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์, ทักษะ และความสามารถเฉพาะตัวที่ยอดเยี่ยม โดย เขาได้รับความสนใจจากหลายทีมยักษ์ใหญ่ในยุโรป โดยเฉพาะ ลิเวอร์พูล ภายใต้การคุมทีม เชราร์ด อุลลิเย่ร์ ที่ติดตามฝีเท้าของ โรนัลโด้ มาตั้งแต่ขณะที่เขามีอายุ 16 ปี แต่ก็มีอันล้มเลิก โดยให้เหตุผลว่า โรนัลโด้ ยังเด็กเกินไป และจำเป็นต้องใช้เวลาอีกซักระยะกว่าจะพัฒนาฝีเท้าเป็นนักฟุตบอลชั้นนำได้
 
     อย่างไรก็ดี ฝีเท้าของเขามาเตะตา เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมแมเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงที่พา "ปีศาจแดง" ไปลงเตะอุ่นเครื่องกับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาล 2003/2004 ซึ่งนักเตะของ "ปีศาจแดง" โดนโรนัลโด้ ใช้ทักษะอันยอดเยี่ยม สร้างความปั่นป่วนให้ทั้งเกมการแข่งขัน และช่วยให้ สปอร์ติ้ง เอาชนะ ยอดทีมจากเกาะอังกฤษ ไปได้ 3-1 จนนำมาสู่การจัดการซื้อตัว โรนัลโด้ มาสู่ โอลด์ แทร๊ฟฟอร์ด ด้วยค่าตัว 12.24 ล้านปอนด์ (771 ล้านบาท) เพื่อมาเป็นตัวตายตัวแทนของ เดวิด เบ็คแฮม ที่ย้ายไปร่วมทีมรีล มาดริด
 
2003-2009: แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
 
2003-2005: แจ้งเกิดได้อย่างงดงาม

 
     นับตั้งแต่ที่ โรนัลโด้ ย้ายมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขาก็ได้รับทั้งคำชื่นชมอย่างมากมายในเรื่องทักษะ ความสามารถส่วนตัวของเขา  โดยในฤดูกาล 2003-2004 ซึ่งเป็นฤดูกาลแรกของ โรนัลโด้ เขาต้องพบกับความกดดัน  ในการเข้ามารับตำแหน่งหมายเลข 7 ของทีมต่อจาก เบ็คแฮม และบรรดานักเตะระดับตำนานของ "ปีศาจแดง" ที่เคยใช้เบอร์นี้ในสีเสื้อ ยูไนเต็ด ไม่ว่าจะเป็น เอริค คันโตน่า, จอร์จ เบสต์ หรือ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ท่ามกลางความคาดหวังอย่างมากจากแฟนบอล จนทำให้เขาเคยไปขอเปลี่ยนเบอร์เสื้อจากหมายเลข 7 กลับไปเป็นหมายเลข 28 ที่เขาเคยใส่ในสมัยที่อยู่กับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน แต่ก็ถูกทางสโมสร ปฏิเสธ เพราะเชื่อว่า โรนัลโด้ เหมาะสมกับการสืบทอดตำนานหมายเลข 7 ของ "ปีศาจแดง" ต่อไป
 
     โรนัลโด้  ลงสนามให้ทีม”ปีศาจแดง” ครั้งแรกในเกมทีมถล่ม โบลตัน วันเดอเรอร์ส โดยเขาถูกเปลี่ยนเป็นตัวสำรองลงสนามในนาทีที่ 60 ของเกม และใช้เวลาไม่นานนักในการปรับตัวให้เข้ากับพรีเมียร์ชิพ และผลงาน 8 ประตู จากการลงสนาม 39 นัด ซึ่งรวมถึงประตูแรกของเขา ในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ที่เอาชนะ มิลล์วอลล์ 3-0 ที่มิลเลเนี่ยม สเตเดี้ยม ก็ทำให้เขาได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (Sir Matt Busby Player of the Year) ประจำฤดูกาล 2003/04

 
     ในฤดูกาลที่ 2 ของโรนัลโด้กับ ยูไนเต็ด โรนัลโด้ โชว์ฟอร์มไม่ดีเท่ากับปีแรก หลังจากที่จบฤดูกาลด้วยการลงสนาม 50 นัด แต่ทำได้แค่ 9 ประตู ซึ่งในปีนี้ เองที่ โรนัลโด้ โดนวิจารณ์ถึงสไตล์การเล่นที่ชอบโชว์ทักษะการเลี้ยงบอลผ่านคู่ต่อสู้ จนบางครั้งกลายเป็นการเล่นแบบไม่เป็นทีมเวิร์ค  อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาล 2005/06 โรนัลโด้ ก็เรียกฟอร์มเก่งของตัวเองมาได้อีกครั้งในช่วงครึ่งซีซั่นหลัง ด้วยการทำ 12 ประตู จากการลงสนาม 47 นัด และยังเป็นผู้ทำประตูที่ 1,000 ของ "ปีศาจแดง" ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่แพ้ มิดเดิ้ลสโบรช์ 1-4
 
    อย่างไรก็ตาม โรนัลโด้ ก็ยังพา "ปีศาจแดง" เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลคาร์ลิ่ง ลีก คัพ กับ วีแกน ได้สำเร็จ ซึ่ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เอาชนะไปได้ โดยที่เขาทำประตูได้อีกด้วย ส่งผลให้ เขา คว้ารางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของฟิฟโปร (FIFPro Special Young Player of the Year 2005) ซึ่งเป็นรางวัลเดียวที่ให้แฟนๆ เป็นผู้ลงคะแนนโหวตตัดสินไปครอง และในปีเดียวกันเขาก็ได้อันดับที่ 20 ในตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่าด้วย

 
     ในปี 2006  โรนัลโด้ กับ รุด ฟาน นิสเตลรอย กองหน้าเพื่อนร่วมทีม "ปีศาจแดง" มีเรื่องทะเลาะกันในสนามซ้อมคาร์ริงตัน โร้ด ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่บ่อยครั้ง ทำให้เคยมีข่าวลือว่า โรนัลโด้ จะโดนขายไปให้กับ ยูเวนตุส ทีมยักษ์ใหญ่ของอิตาลี ด้วยค่าตัว 20 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,260 ล้านบาท) แต่นั่นก็เป็นแค่ข่าวลือ ก่อนที่ โรนัลโด้ จะต่อสัญญากับทีมออกไปจนถึงปี 2010
 
2006-2007 : คว้านักเตะยอดเยี่ยมของเกาะอังกฤษ
 
     แม้ว่า หลังศึกฟุตบอลโลก 2006 ที่ประเทศ เยอรมัน โรนัลโด้ ถูกแฟนบอลอังกฤษรุมโห่ไล่หลังจากที่มีส่วนทำให้ เวย์น รูนี่ย์ เพื่อนร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องถูกไล่ออกในเกมที่อังกฤษพบกับโปรตุเกส โรนัลโด้ถูกสื่อในอังกฤษกดดันและต่อว่า อย่างไรก็ดี โรนัลโด้ยังคงเล่นให้กับทีม “ปีศาจแดง” ต่อไป และเขาก็พาทีมออกสตาร์ตฤดูกาล 2006-2007 ได้อย่างสวยหรู ด้วยการถล่ม ฟูแล่ม ไปถึง 5-1 หลังจากนั้น โรนัลโด้ ก็เป็นหนึ่งในนักเตะที่มีอิทธิพลต่อทีมยูไนเต็ดมากที่สุด หลังจากซัดไปด 6 ประตู จากการลงสนาม 3 นัด ซึ่งส่งผลให้เขาทำประตูรวมไปแล้ว 12 ลูก ก่อนที่จะมายิงเพิ่มได้อีก 2 ลูกในเกม ที่พบกับ วีแกน

 
     ในเดือน ธันวาคม โรนัลโด้ คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือน ไปครอง  ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน ส่งผลให้เขากลายเป็นผู้แล่นคนที่สามที่ทำเช่นนี้ ได้ ต่อจาก เดนนิส เบิร์กแคมป์ (อาร์เซน่อล, 1997) และ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ (ลิเวอร์พูล, 1996) ตามลำดับ และโรนัลโด้ ก็มายิงประตูที่ 50 ในสีเสื้อ “เร้ดเดวิลส์” ได้สำเร็จ ในเกมที่พบกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พร้อมกับช่วยให้ต้นสังกัดกลับมาคว้าแชมป์พรีเมียร์ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี

    ในเดือน เมษายน 2007 โรนัลโด้ ตกเป็นข่าวว่า กำลังถูก เรอัล มาดริด ให้ความสนใจคว้าตัวไปร่วมทีม  โดยทีมยักษ์ใหญ่จากศึกลาลีกา สเปน ยินดีควักกระเป๋า 54 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3,402 ล้านบาท) เพื่อเป็นค่าตัวของโรนัดด้ อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 13 เมษายน โรนัลโด้ ก็ต่อสัญญาฉบับใหม่กับทีมออกไปอีก 5 ปี พร้อมกับรับค่าเหนื่อยสูงสุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร ที่ 120,000 แสนปอนด์ (ประมาณ 7.56 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์ 
 
     นอกจากนี้ โรนัลโด้ ยังคว้ารางวัลให้กับตนเองมากมายในฤดูกาล 2006-20007 ไม่ว่าจะเป็น นักฟุตบอลยอดเยี่ยมและนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปี ของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) (เป็นผู้เล่นรายที่ 2 ในประวัติศาสตร์ ที่สามารถคว้ารางวัลเกียรติยศทั้งสองมาครอบครองในเวลาเดียวกัน  ต่อจาก แอนดี้ เกรย์ เคยทำได้เมื่อปี 1977 หรือ ราว 30 ปี) รวมถึงมีชื่อติดหนึ่งในทีมยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล ร่วมกับเพื่อนทีม ยูไนเต็อีก 7 คน จากการโหวดของแฟนบอลทั่วสหราชอาณาจักร ยิ่งไปกว่านั้น โรนัลโด้ ยังได้รับรางวัลนักฟุตบอลโปรตุเกสยอดเยี่ยมแห่งปี, รางวัลจากสมาคมนักข่าวกีฬาอังกฤษ, นักเตะยอดเยี่ยมของสโสมสรและของแฟนบอลยูไนเต็ด อีกด้วย
 
2007-2008 : พาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์
 
     โรนัลโด้ ออกสตาร์ตฤดูกาลนี้ได้อย่างย่ำแย่ หลังโดนไล่ออกในเกมที่พบกับ พอร์ทสมัธ ก่อนที่จะกลับมายิงประตูให้ทีมเอาชนะ สปอร์ติ้ง ลิสบอน อดีตต้นสังกัดเดิม ได้สำเร็จ ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม หลังจากนั้น ประตูจากปลายสตั๊ดของ โรนัลโด้ ก็ไหลมาเทมาอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งในยุโรป บอลลีก หรือ บอลถ้วย ส่งผลให้ทีม “ปีศาจแดง” ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมตลอดช่วงครึ่งฤดูกาลแรก
 
     ในวันที่ 2 ธันวาคม โรนัลโด้ ได้รับการประกาศให้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของยุโรปเป็นอันดับ 2 รองจาก ริคาร์โด้ กาก้า เพลย์เมกเกอร์จอมทัพของ เอซี มิลาน ก่อนที่ถัดมาอีก 2 สัปดาห์ โรนัลโด้ ก็ถูกประกาศให้คว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกอันดับ 3 รองจาก กาก้า อันดับ 1 และ ลีโอเนล เมสซี่  อันดับ 2 ตามลำดับ

 
     โรนัลโด้ ยังคงโชว์ฟอร์มให้กับ ยูไนเต็ด ได้อย่างร้อนแรงต่อไป และเขาก็สามารถทำแฮตทริกแรกของเขากับ ยูเนเต็ด ได้ ในเกมที่ถล่ม นิวคาสเซิ่ล 6-0 ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ ในวันที่ 12 มกราคม 2008  และเป็นผลการแข่งขันที่ทำให้ ยูไนเต็ด ก้าวขั้นมาครองอันดับ 1 ของตารางพรีเมียร์ชิพได้สำเร็จ  ขณะที่ฟอร์มการผลิตประตูของ โรนัลโด้ ก็ยังทำงานอย่างต่อเนื่องแบบไม่มีตก โดยตอนนี้ เขายิงประตูให้ทีมรวมไปแล้ว 23 ประตู เทียบเท่ากับ ในซีซั่นก่อน ก่อนที่ในที่สุด ในวันที่ 19 มีนาคม 2008  โรนัลโด้ จะสร้างสถิติเป็นนักเตะตำแหน่งมิดฟิลด์ที่ทำประตูได้มากที่สุดในหนึ่งฤดูกาล โดยทำลายสถิติเดิมของ จอร์จ เบสต์ อดีตดาวเตะระดับตำนานของ “ปีศาจแดง” ที่เคยทำไว้ที่ 32 ประตู ในระหว่างปี 1967-68

 
      โรนัลโด้ ถูก เรอัล มาดริด ให้ความสนใจอีกครั้ง โดยคราวนี้ ทีม “ราชันชุดขาว” ประกาศพร้อมทุ่ม 100 ล้านปอนด์ (6,300 ล้านบาท) เพื่อคว้าตัว โรนัลโด้ ไปร่วมทีม แต่ทว่า ก็โดน ยูไนเต็ด ปฏิเสธหน้าหงายไปอย่างไม่ใยดี และในวันที่ 10 พฤษภาคม 2008 โรนัลโด้ สามารถยิงประตูสำคัญในเกมนัดสุดท้าย ที่พบกับ วีแกน ให้ทีมออกนำไปได้ 1-0 จากลูกจุดโทษ ซึ่งถือเป็นประตูรวมที่ 41 และประตูที่ 31 ในศึกพรีเมียร์ชิพ ของเขาแล้วในซีซั่นนี้ ก่อนที่จะมาบวกเพิ่มให้กับตนเองได้อีกหนึ่งลูกในนัดชิงชนะเลิศ ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่เอาชนะ เชลซี มาได้ ด้วยการดวลจุดโทษ 6-5 ซึ่งถือเป็นถ้วยรางวัลใบทีสองของ ยูไนเต็ด หลังจาก ที่คว้าแชมป์ พรีเมียร์ชิพมาครองได้แล้ว ก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ โรนัลโด้ มีสถิติการยิงประตูเป็นรอง รุด ฟาน นิสเตลรอย ที่ทำไว้ในปี 2002-2003 อยู่เพียง 2 ลูกเท่านั้น อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นผลงานที่ดีพอที่จะทำให้ โรนัลโด้ คว้ารางวัล รองเท้าทองคำประจำฤดูกาล 2007-2008 มาครองได้สำเร็จ 
 
เรอัล มาดริด 

 
     โรนัลโด้ ย้ายมาร่วมทีม เรอัล มาดริด อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2009 หลังจากตกลงจรดปากกาเซ็นสัญญากับทาง "ราชันชุดขาว" เป็นเวลา 6 ปี พร้อมกับได้รับค่าเหนื่อยถึง 13 ล้านยูโร (520 ล้านบาท) ต่อซีซั่น รวมถึงค่าฉีกสัญาสูงลิบถึง 1 พันล้ายูโร (40000 ล้านบาท) 
 
     วันเปิดตัว "ซีอาร์9" ปรากฏว่ามีสาวกมาดริดิสต้า ไปรอต้อนรับที่ซานติเอโก้ เบร์นาเบว กว่า 80000 คนเลยทีเดียว เป็นการทำลายสิถิติแฟนบอลนาโปลี ที่เคยแห่ไปต้อนรับดีเอโก้ มาราโดน่า 75000 คนเมื่อครั้งย้ายจาก บาร์เซโลน่า ไปเล่นในเซเรีย อา เมื่อปี 1984 
 
     โรนัลโด้ ลงเล่นให้ต้นสังกัดครั้งแรกในเกมอุ่นเครื่องกับแชมร็อค ที่ไอร์แลนด์ ก่อนจะประเดิมเกมลีกในนัดที่พบกับ ลา กอรุนญ่า ในวันที่ 29 สิงหาคม ซึ่งเจ้าตัวซัดประตูได้ทันทีอีกด้วย โดยในฤดูกาลแรกนี้ โรนัลโดทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการลงเล่นเป็นตังจริงทั้งหมด ถึง 35 นัด ทำประตูไปได้ 33 ประตู ซึ่งครองดาวซัลโวสูงสุดของ ลา ลีกา ในฤดูกาลนั้น โดยโรนัลโด้ลงเล่นในตำแหน่ง กองหน้า และบางครั้งเขาอาจจะเล่นในตำแหน่ง ปีกซ้าย
 
     พอเข้าสู่ฤดูกาลที่ 2010-11 โรนัลโด้ เขาได้ถูกเปลี่ยนไปใส่เบอร์ 7 และพร้อมกับกุนซือคนใหม่ โชเซ่ มูรินโญ่ เทรนเนอร์ชาวโปรตุเกสที่รู้จักในตัวของโรนัลโด้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ "เจ็ทโด้" เค้นฟอร์มเก่งออกมาเรื่อยๆ ในวันที่ 23 ตุลาคม 2010 เจ้าตัวเหมาคนเดียว 4 ประตู ทำให้เรอัล มาดริดถล่มราซิ่งฯ ไป 4-0 ทว่าไฮไลต์สำคัญในซีซั่นดังกล่าว คือเกมพ่าย บาร์เซโลนา คู่ปรับร่วมลีกถึง 0-5 ที่คัมป์นู

 
     ฤดูกาล 2011-12 ความสำเร็จและการพัฒนาระหว่าง มาดริด กับ โรนัลโด เป็นไปอย่างก้าวกระโดด โดยฤดูกาลนี้ "ซีอาร์7" กดไปถึง 60 ประตู (รวมทุกรายการ) และยังสามารถทะลุไปถึงรอบรองชนะเลิศ ยูซีแดล แต่ก็แพ้บาเยิร์นมิวนิก ไป 1-3 จากการดวลจุดโทษ อย่างไรก็ตาม โรนัลโดก็สามารถนำทีมได้แชมป์ ลาลีกา ได้เป็นครั้งที่ 32 ของสโมสร 
 
     ส่วนในซีซั่นล่าสุด ภาพรวมของเรอัล มาดริด ตกต่ำมาก เพราะไม่มีโทรฟี่ติดมือแม้แต่รายการเดียว แถมยังมีการแบ่งแยกพรรคพวกกันด้วย อีกทั้ง โรนัลโด้ กลับไม่กินเส้นกับทางด้าน มูรินโญ่ อีกต่างหาก ส่งผลให้ เฮดโค้ชจากแดนฝอยทอง โดนปลดออกจากตำแหน่งไปในท้ายที่สุด ขณะที่ดาวยิงโปรตุกีส ก็ตกเป็นข่าวย้ายทีมทันที เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน โดยเป้าหมายอยู่ที่ทีมเก่าอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ทว่าล่าสุดเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม โรนัลโด้ ออกมายืนยันแล้วว่า คงหมดโอาสกลับรังเก่าแน่นอนแล้ว 



     วันที่ 18 สิงหาคม 2013 โรนัลโด้ ลงสนามครบ 200 เกมให้กับเรอัล มาดริด ในนัดเปิดบ้านชนะเรอัล เบติส 2-1 แต่ "เจ็ทโด้" ทำประตูในเกมดังกล่าวไม่ได้ อย่างไรก็ตาม โรนัลโด้ เบิกประตูแรกให้ตัวเองในซีซั่นนี้ได้สำเร็จ เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2013 ในแมตช์ถล่มแอธ.บิลเบา 3-1 
 
     จากนั้น โรนัลโด้ ตัดสินใจฝากอนาคตไว้กับ "ราชันชุดขาว" ด้วยการต่อสัญญายาวถึงปี 2018 พร้อมค่าเหนื่อยสูงถึง 17 ล้านยูโรต่อปี (ประมาณ 765 ล้านบาท) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ได้รับค่าเหนื่อยสูงที่สุด ต่อมาวันที่ 17 กันยายน 2013 ดาวยิงโปรตุกีส สามารถกดแฮตทริกครั้งที่สองของในชีวิตการค้าแข้งของตัวเอง ซึ่งเกิดขึ้นในศึกยูซีแอล รอบแบ่งกลุ่ม นัดแรกที่ไล่ต้อน กาลาซาตาราย 6-1 
 
     โรนัลโด้ ลงสนามครบนัดที่ 100 ให้กับตัวเอง ในศึกชปล. เป็นการพบกับ โคเปนเฮเก้น เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2013 และหนูโด้ ก็พา มาดริด ชนะตัวแทนจากเดนมาร์ก กระเจิง 4-0 ในซานติเอโก้ เบร์นาเบว และในวันที่ 23 ตุลาคม 2013 โรนัลโด้ เหมาคนเดียวสองตุง ในแมตช์เปิดบ้านทุบยูเวนตุส 2-1 เท่ากับว่า "เจ็ทโด้" ทำประตูในรายการดังกล่าวไปทั้งสิ้น 57 ลูก มากที่สุดเป็นอันดับ 3 ตลอดการหากนับเฉพาะประตูในศึกยุโรป
 
     ในการลงสนามเกมเยือนนัด 106 ให้กับ เรอัล มาดริด เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2013 เขายิงประตูได้ถึง 100 ลูกเฉพาะเกมนอกบ้านสำเร็จ ในเกมที่บุกเอาชนะ ราโย บาเยกาโน่ 3-2 และทำให้เขามีค่าเฉลี่ยทำประตูสูงถึง 0.94 ลูกต่อหนึ่งนัด โดยในวันที่ 9 พฤศจิกายน โรนัลโด้ ซัดแฮตทริกหนที่ 19 ของศึก ลา ลีก้า สเปน (โอเพ่นเพลย์, จุดโทษและฟรีคิก) ในเกมที่เอาชนะ เรอัล โซเซียดัด 5-1
 
     เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2014 โรนัลโด้ คว้ารางวัล บัลลงดอร์ 2013 ด้วยการเอาชนะคู่แข่งตลอดกาลอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ ที่คว้ามาสี่สมัยก่อนหน้านี้และ ฟร้องค์ ริเบรี่ เป็นสามรายชื่อสุดท้าย ซึ่งเขาได้กล่าวบนเวทีในขณะรับรางวัลว่า "ไม่มีคำใดที่จะอธิบายช่วงเวลานี้ได้" และ "มันยากยิ่งนักที่จะคว้ารางวัลนี้มาครอง"
 
     ในวันที่ 15 มีนาคม 2014 หลังจากที่เขาซัดประตูได้ในเกมที่พบกับ มาลาก้า ทำให้ โรนัลโด้ เป็นคนแรกที่ซัด 25 ประตูติดต่อกัน 5 ฤดูกาลรวด โดยหลังจากนั้นเมื่อวันที่ 2 เมษายน เขาก็สามารถพังประตูที่ 100 ของศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในเกมที่พบกับ ดอร์ทมุนด์
 
     โรนัลโด้ จบฤดูกาล 2013/14 ด้วยการยิงทั้งสิ้น 31 ประตูจาก 30 เกมลีก คว้ารางวัลรองเท้าทองคำยุโรปร่วมกับ หลุยส์ ซัวเรซ นอกจากนี้ยังสร้างสถิติยิงประตูรวมกันของ BBC (เบล, เบนเซม่า และคริสเตียโน่) ไปมากถึง 97 ลูก
 
     เปิดซีซั่น 2014/15 เขาก็สามารถยิงประตูได้เลยในเกมที่เอาชนะ กอร์โดบา 2-0 โดยหลังจากนั้นในวันที่ 28 สิงหาคม 2014 โรนัลโต้ ได้รับรางวัล นักเตะยุโรปยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาล 2013-14 ต่อมาเมื่อวันที่ 20 กันยายน เขาซัดแฮตทริกที่ 20 ในลีกได้สำเร็จจากเกมที่ถล่ม ลา กอรุนญ่า 8-2 และทำให้เขามีสถิติตามหลัง เตลโม่ ซาร์ร่า กับ อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ สองตำนานที่ทำไว้สูงสุดตลอดกาล 22 ครั้ง
 
     โดยในวันที่ 6 ธันวาคม 2014 โรนัลโด้ กลายเป็นนักเตะที่ยิง 200 ประตูใน ลา ลีก้า สเปน เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์จากการลงสนามเพียงแค่ 178 นัด และยังเป็นการยิงแฮตทริกเป็นหนที่ 23 ทุบสถิติของตำนานที่เคยทำไว้เป็นที่เรียบร้อย จากเกมที่พบกับ เซลต้า บีโก้
 
     เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2015 เขาคว้ารางวัล ฟีฟ่า บัลลงดอร์ 2014 มาครองอีกครั้ง และหลังจากนั้นในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ โรนัลโด้ สามารถยิงประตูให้ทีมเอาชนะ ชาลเก้ 2-0 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เลกแรกและยิงเพิ่มได้อีก 2 ประตูในเลกสอง ทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่ทำประตูมากที่สุดตลอดกาลในรายการนี้ทันทีด้วยจำนวนทั้งสิ้น 78 ประตู นำหน้า ลิโอเนล เมสซี่ ที่ยิงไป 75 ประตู
 
     ในวันที่ 5 เมษายน 2015 โรนัลโด้ ยิง 5 ประตูเป็นครั้งแรกในชีวิตการค้าแข้งของเขา และใช้เวลาเพียง 8 นาทีในการทำแฮตทริก จากเกมที่ถล่มเอาชนะ กรานาด้า 9-1 ในศึก ลา ลีก้า สเปน โดยหลังจากนั้นเพียง 3 วัน (8 เมษายน) เขาก็ยิงประตูที่ 300 ให้กับ "ราชันชุดขาว" สำเร็จ ในเกมที่เอาชนะ ราโย่ บาเยกาโน่ 2-0 ซึ่งต่อมาอีก 10 วัน เขาก็ได้กลายเป็นนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลที่สามารถยิงรวมกัน 50 ประตูในทุกรายการติดต่อกัน 5 ครั้งรวด หลังจากที่ยิงสามเม็ดในเกมที่ทีมถล่ม มาลาก้า 3-1
 
     สำหรับฤดูกาล 2015/16 หลังจากการเข้ามาคุมทีมของ ราฟา เบนิเตซ ทำให้เขายิงประตูไม่ได้ในสองเกมแรกของฤดูกาล แต่เขาก็กลับมายิงทีเดียว 5 ลูกจากที่ถล่มเอาชนะ เอสปันญ่อล 6-0 ซึ่งห้าประตูดังกล่าวทำให้เขายิงไปแล้ว 230 ลูกจากการลงสนาม 203 เกมเท่านั้น แซงหน้าสถิติที่ ราอูล กอนซาเลซ ทำไว้ที่ 228 ลูกจาก 550 เกมให้กับ เรอัล มาดริด ใน ลา ลีก้า
 
     เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2015 โรนัลโด้ มีชื่อเข้าชิง ฟีฟ่า บัลลงดอร์ 2015 ร่วมกับ เนย์มาร์ และเมสซี่ ต่อมาหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ในวันที่ 8 ธันวาคม เขาทำคนเดียว 4 ประตูให้ทีมเอาชนะ มัลโม่ 8-0 ในยูซีแอลรอบแบ่งกลุ่ม
 
ทีมชาติโปรตุเกส

 
     สำหรับเส้นทางในทีมชาติโปรตุเกส โรนัลโด้ ติดทีมชาติเป็นครั้งแรก ในการเล่นให้ทีมชาติโปรตุเกส ชุดยู-17, ยู-18 และ ยู-21 ปี ตามลำดับ ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ครั้งแรก ในนัดที่พบกับ คาซัคสถาน เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2003 รวมถึงยังได้ติดทีมแดนฝอยทอง ลงทำศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป รอบสุดท้าย ปี 2004 ซึ่งประเทศบ้านเกิดของเขาเป็นเจ้าภาพเอง อีกด้วย และเขาก็สามารถทำประตูได้ในนัดเปิดสนามที่ โปรตุเกส แพ้ กรีซ 1-2
 
    อย่างไรก็ตาม ทีมเจ้าภาพก็ยังดิ้นรนผ่านเข้ารอบต่อไปจนได้ จนมาถึงในรอบรองชนะเลิศ โปรตุเกส ต้องเจอกับ ฮอลแลนด์ ซึ่งพวกเขาก็สามารถเอาชนะไปได้ 2-1 โดยที่ โรนัลโด้ เป็นผู้ยิงประตูแรกให้กับทีมเจ้าถิ่น ทำให้ โปรตุเกส ได้ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศ พบกับ กรีซ อีกครั้ง และทีมเจ้าถิ่นก็ถูก กรีซ ยัดเยียดความปราชัยให้อีกครั้ง ชวดแชมป์ไปแบบพลิกความคาดหมาย
 
     นอกจากทีมชาติชุดใหญ่แล้ว โรนัลโด้ ยังลงเล่นให้กับทีมชาติโปรตุเกสชุดโอลิมปิก 2004 อีกด้วย โดยตอนนี้เขาลงสนามให้กับทีมชาติไป 24 นัด ทำได้ 10 ประตู โดยในรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก โซนยุโรป เขายิงได้ถึง 7 ประตู เป็นรองดาวซัลโวของโซนนี้ รองจาก เปโดร เปาเลต้า กองหน้าทีมเดียวกัน และโรนัลโด้ ก็ยิงประตูแรกในเกมฟุตบอลโลก 2006 ที่ประเทศ เยอรมัน ได้ในเกมที่พบกับ อิหร่าน ในรอบแบ่งกลุ่ม และมีส่วนสำคัญพาทีมสู่รอบรองชนะเลิศ ได้สำเร็จ ก่อนที่ทีมชาติ โปรตุเกส จะจอดป้ายแค่เพียงรอบนี้ เท่านั้น
 
     เข้าสู่การแข่งขันในทัวร์นาเม้นต์ ฟุตบอลยูโร 2008 รอบคัดเลือก โรนัลโด้ มีเป็นผู้เล่นกำลังสำคัญที่ผ่านทีมผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย ที่ประเทศ ออสเตรีย และ สวิตเซอร์แลนด์ ได้สำเร็จ โดยเขายิงไปทั้งสิ้น 8 ลูก รวมถึงทำได้ 1 ประตู และจ่าย 1 ประตู ในเกมรอบสุดท้าย ในรอบแบ่งกลุ่ม ที่ทีมเอาชนะ สาธารณรัฐเช็ก มาได้อย่างสวยงาม 3-1 พร้อมกับพาทีมเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศได้สำเร็จ ก่อนจะไปพ่ายให้กับเยอรมัน 2-3 ตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย
 
     โรนัลโด้ มีชื่อเป็น "แมน อ็อฟ เดอะ แมตช์" ทั้งสามเกมในรอบแบ่งกลุ่มฟุตบอลโลก 2010 จากเกมที่เสมอกับ ไอวอรี่ โคสต์ (0-0), เกาหลีเหนือ (7-0) และ บราซิล (0-0) ซึ่งประตูเดียวที่ได้จากเกมถล่ม "โสมแดง" 7-0 เป็นลูกแรกในรอบ 16 เดือนที่ไม่สามารถยิงให้กับทีมชาติได้เลย และเส้นทางในเวทีระดับโลกต้องยุติลงแค่รอบ 16 ทีมสุดท้าย หลังพ่ายแชมป์เก่า สเปน 0-1
 
     "เจ็ทโด้" ซัด 7 ประตูให้ฝอยทองในศึก ยูฟ่า ยูโร 2012 รอบคัดเลือก รวมไปถึงการยิงสองลูกในเกมเพลย์-อ็อฟกับ บอสเนีย อีกด้วย ก่อนที่ โปรตุเกส จะทะลุเข้าสู่รอบสุดท้ายไปอยู่ในกลุ่ม บี ซึงเป็น "กรุ๊ป อ็อฟ เดธ" ด้วยการมี ฮอลแลนด์, เดนมาร์ก และ เยอรมัน อยู่รวมสายเดียวกัน โดยทีมของเขาก็ไปได้ไกลถึงรอบรองชนะเลิศด้วยการแพ้จุดโทษให้กับ สเปน ซึ่งเขาเองไม่ได้ยิงเพราะถูกกำหนดให้เป็นมือสังหารคนที่ห้า แต่ทีมแพ้ไปก่อนที่เขาจะได้เตะ
 
งานอื่น

 
   ด้วยความสามารถและความโด่งดัง จึงมีเอเย่นต์สนใจเขามาเป็นพรีเซนเตอร์อยู่หลายชิ้น ภาพลักษณ์ของโรนัลโด้สร้างความสำเร็จให้กับการตลาดมหาศาล ไม่ว่าจะเป็น วิดีโอเกมต่าง ๆ ไปจนโทรศัพท์มือถือ นอกจากนี้ความหล่อเหลาของเขาก็ยังทำให้เขาได้รับการติดต่อจากนิตยสารแฟชั่นอีกด้วย นิตยสารโวกของอเมริกา นำเสนอเขาไปเป็นแบบปก และเขายังเป็นพรีเซนเตอร์ให้ผลิตภัณฑ์รองเท้ากีฬาอย่าง ไนกี้ โดยทางไนกี้เล็งเห็นว่าโรนัลโด้มีฝีเท้าที่เป็นนักเตะที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก จึงได้คุยกับโรนัลโด้เพื่อผลิตรองเท้าที่เบา พัฒนารองเท้า รองเท้ารุ่น Mercurial Vapor ออกมา
 
เกียรติยศที่ได้รับของ โรนัลโด้
 
ระดับสโมสร
 
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
แชมป์พรีเมียร์ลีก: 2006-07, 2007-08, รองแชมป์: 2005-06
แชมป์เอฟเอคัพ: 2003-04, รองแชมปื: 2004-05, 2006-07
แชมป์ลีกคัพ: 2005-06
คอมมูนิตี้ ชีลด์: 2007
ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก: 2007-08
 
เรอัล มาดริด
แชมป์ลาลีกา : 2011-12
แชมป์ โกปา เดล เรย์ : 2010-11
แชมป์ซูเปอร์คัพ สเปน : 2012
 
ทีมชาติโปรตุเกส 
ฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป : รองแชมป์ปี 2004 
เวิร์ลดคัพ : อันดับ 4 ปี 2006
 
 

ADS