ประวัติ เจมี่ วาร์ดี้ ดาวยิงทัศนะคติเยี่ยม...เดอะแบกแห่ง "จิ้งจอกสยาม"
เจมี่ วาร์ดี้ ในวัย 33 ปียังคงสร้างเซอร์ไฟร์สไม่หยุดเมื่อล่าสุดยิงประตูให้กับทีมบุกไปเอาชนะทีมน้องใหม่ไฟแรงอย่าง ลีดส์ ได้ถึงถิ่น 4-1 พร้อมกับพา "จิ้งจอกสยาม" กระโดดขึ้นมารั้งรองจ่าฝูงพรีเมียร์ ลีก ตามหลังลิเวอร์พูล ทีมแชมป์เก่าแค่เพียงแต้มเดียวเท่านั้น
ชื่อเต็ม : เจมี่ ริชาร์ด วาร์ดี้ (
วันเกิด : 11 มกราคม 1987 (อายุ 33 ปี)
สถานที่เกิด : เชฟฟิลด์, ประเทศอังกฤษ
ส่วนสูง : 178 เซนติเมตร
สัญชาติ : อังกฤษ
ตำแหน่ง : กองหน้า
สโมสรปัจจุบัน : เลสเตอร์ ซิตี้
วาร์ดี้ เริ่มค้าแข้งกับทีมเยาวชนของ สต๊อกส์บริดจ์ พาร์ค สตีลส์ ในวัย 16 ปี หลังถูกปล่อยตัวมาจาก เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ เขาทำได้ดีจนถูกดันขึ้นทีมสำรอง และไปถึงชุดใหญ่ ภายใต้การคุมทีมของ แกรี่ มาร์โรว์ ในปี 2007
หลังจากนั้น 3 ปี เดือนมิถุนายน 2010 วาร์ดี้ ตัดสินใจร่วมทีม ฮาลิแฟกซ์ ทาวน์ และเมื่อได้โอกาสลงสนามเขาก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการทำประตูชัยให้ทีมชนะ บักซ์ตัน 2-1 ซึ่งฤดูกาลนั้่นเจ้าตัวกระทุ้งไปได้ถึง 27 ประตูพร้อมถูกโหวตเป็นผู้เล่นแห่งปีของสโมสรหลังจากเริ่มต้นซีซั่นใหม่ ฮาลิแฟกซ์ ทาวน์ ได้ไม่กี่นัด วาร์ดี้ ดันถูกทีมอย่าง ฟลีทวู้ด ทาวน์ ซึ่งตอนนั้นโลดแล่นอยู่ในลีกสมัครเล่นคว้าตัวไปร่วมทีมแบบไม่เปิดเผยค่าตัวและได้ลงทันทีในเกมเสมอ ยอร์ค ซิตี้ 0-0 หลังจากนั้น วาร์ดี้ ก็โชว์สัญชาตญาณกองหน้าออกมาเรื่อยๆเพราะหลังจากย้ายมา วาร์ดี้ ผงาดคว้าดาวซัลโวสูงสุดของลีกีท่ 31 ประตูพร้อมกับผงาดคว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยม คอนเฟอเร้น เนชั่ลแนล ประจำเดือนพฤศจิกายน ไปครองอีกด้วย
และเส้นทางใหม่ของ วาร์ดี้ ก็ได้เริ่มต้นอีกครั้งเนื่องจาก เลสเตอร์ ซิตี้ ทีมจากแชมเปี้ยนชิพกระชากตัวมาร่วมทัพด้วยค่าตัว 1.7 ล้านปอนด์ (ประมาณ 68 ล้านบาท) ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดของนักเตะนอกลีก ด้วยสัญญาระยะยาว 3 ปี 14 สิงหาคม 2012 วาร์ดี้ ประเดิมเกมแรกในนัดพบ ตอร์คีย์ ยูไนเต็ด ในถ้วย ลีก คัพ และทำประตูปิดท้ายให้ทีมชนะ 4-0 แต่หลังจากนั้นฟอร์มการเล่นของเขาดันร่วงหล่นไปจนน่าตกใจ จนถูกแฟนๆ วิจารณ์ แต่กระนั้นผู้จัดการทีม ไนเจล เพียร์สสัน ผู้จัดการทีมในตอนนั้นก็ยังวางใจเขาต่อไป ก่อนที่ฤดูกาลต่อมา วาร์ดี้ กลับคืนฟอร์มด้วยการยิงเหมือนโกรธใครใครมาที่ 16 ประตู พาทีมเลื่อนชั้นพรีเมียร์ ลีก ได้สำเร็จและด้วยผลงานดังกล่าวทำให้ เลสเตอร์ จับเขายืดสัญญาไปถึงปี 2018
หลังจากพาทีมเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดได้สำเร็จเจ้าตัวก็ได้รับโอกาสลงสนามเป็นตัวจริงมากขึ้น จนในวันที่ 21 กันยายน 2014 วาร์ดี้ นอกจากจะยิงประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ได้แล้วยังช่วยให้ทีมได้สองจุดโทษ พาทีมเปิดบ้านถล่ม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เละเทะ 5-3
ก่อนที่ฤดูกาลมหัศจรรย์ของเจ้าตัวและต้นสังกัดจะมาถึงนั่นก็คือ 2015/16 เพราะเป็นปีที่พวกเขาผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก เป็นครั้งแรกของสโมสร ซึ่งคนที่มีส่วนสำคัญพา "จิ้งจอกสยาม" ผงาดคว้าแชมป์ได้ก็คือ เจมี่ วาร์ดี้ ที่กระทุ้งไปถึง 24 ประตูรวมทุกรายการพร้อมกับสร้างสถิติเป็นผู้เล่นของเลสเตอร์ คนที่ 2 ที่ยิงประตูเกิน 20 เมล็ดในซีซั่นเดียวต่อจาก แกรี่ ลินิเกอร์ ที่เคยทำไว้ในฤดูกาล 1984/85
ด้วยผลงานทั้งหมดทั้งมวลหลังจากจบซีซั่นดังกล่าวเจ้าตัวก็ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีก ไปครองพร้อมกับพา เลสเตอร์ ไปเตะถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยส์ลีก เป็นครั้งแรกอีกด้วยซึ่งแน่นอนหลังจากพาทีมคว้าแชมป์ลีก เจ้าตัวตกเป็นข่าวการย้ายทีมอยู่หลายครั้ง หนึ่งในนั้นก็คือ อาร์เซน่อล ที่ยืนเม็ดเงินมาสู่ขอที่ 22 ล้านปอนด์ (ประมาณ 886 ล้านบาท) แต่ก็ถูกปฎิเสธไปแบบไร้เยื่อใยก่อนที่จะจรดปากเซ็นสัญญาออกไปอีก 4 ปีด้วยกัน
ส่วนผลงานในซีซั่นนี้ไม่เปรี้ยงปร้างเหมือนเคย แต่ฟอร์มในถ้วยหูใหญ่ของยุโรป ถือว่าทำได้ดีเกินคาดเพราะสามารถพา "จิ้งจอกสยาม" ทะลุถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายก่อนที่จะแพ้ให้กับ แอตฯ มาดริด ไปด้วยสกอร์รวม 1-2 หลังจากนั้นผู้จัดการทีมและผู้เล่น ของเลสเตอร์ ก็เปลี่ยนแปลงไปตามวิถีของนักฟุตบอล มีแต่ วาร์ดี้ เท่านั้นที่ยังยึดมั่นที่จะค้าแข้งกลับต้นสังกัดที่พาตัวเองแจ้งเกิด
จนมาในฤดูกาลล่าสุด เลสเตอร์ ออกสตาร์ทได้ค่อนข้างเยี่ยมเพราะนอกจากจะต่อสัญญาออกไปถึงปี 2023 แล้วยังเพิ่งกดแฮตริคแรกของซีซั่นด้วยการบุกไปเอาชนะ แมนฯซิตี้ ขาดลอย 5-2 ถัดมาในวันที่ 25 ตุลาคม ยิงประตูโทนช่วยให้ทีมบุกไปเอาชนะอาร์เซน่อล ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1973 หรือเมื่อ 47 ปีที่แล้วเลยทีเดียว ก่อนที่ล่าสุดเมื่อเกมมันเดย์ ไนท์ ที่ผ่านมายิงประตูที่ 3 ช่วยให้ทีมบุกอัดลีดส์ 4-1 พร้อมกับขยับขึ้นมาอันดับที่ 2 ของลีกพร้อมเดินหน้าพาทีมอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์อีกครั้ง
