ประวัติ กอนซาโล่ อิกัวอิน

ชื่อเต็ม : กอนซาโล่ เคร์ราโด้ อิกัวอิน
วันเกิด: 10 ธันวาคม ค.ศ. 1987 (29 ปี)
เกิดที่ : แบรสต์, ประเทศฝรั่งเศส
สัญชาติ : อาร์เจนติน่า
ส่วนสูง : 184 เซนติเมตร
ตำแหน่ง : กองหน้า

ประวัติส่วนตัว

          อิกัวอิน เริ่มต้นอาชีพค้าแข้งในวันที่ 29 พฤษภาคม ปี2005 โดยสโมสรแรกของเขาก็คือ ลิเวอร์เพลท ทีมในบ้านเกิดของตัวเองจนให้หลังจากนั้นเกือบ 1 ปีเขาก็สามารถเบิกสกอร์แรกให้กับตัวเองได้ในเกมที่เอาชนะ แบนฟิลด์ 3-1 อิกัวอิน จบฤดูกาลนั้นด้วยการลงเล่นไป 12 นัด ซัดไปได้ 5 ประตูด้วยกัน ด้วยฟอร์มการเล่นที่แข็งแกร่งดุดันทำให้มียักษ์ใหญ่หลายทีมหวังต้องการกระชากดาวยิงคนนี้มาร่วมีม ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ เรอัล มาดริด นั่นเอง

เรอัลมาดริด (2006/2007)

          ธันวาคม ปี 2006 สิ้นสุดข่าวลือทั้งหมดเพราะว่าดาวยิงอาเจนไตน์ตัดสินใจย้ายสู่ทีม "ราชันชุดขาว" ในที่สุดด้วยราคา 12 ล้านยูโร (ประมาณ 448 ล้านบาท) และลงประเดิมสนามให้กับต้นสังกัดในศึก โกปา เดล เรย์ ที่พบกับ เรอัล เบติส นั่นเอง สำหรับประตูแรกของเขาเปิดตัวได้หรูเลยทีเดียวเมื่อเขาพังทำประตูตีเสมอให้กับทีมในเกมดาร์บี้แมตช์เมืองมาดริด ที่เสมอกับ แอตฯ มาดริด 1-1 และจบฤดูกาลนั้นด้วยการทำได้แค่ประตูเดียวเท่านั้น

ฤดูกาล 2008/2009

          ได้โอกาสลงสนามให้กับทีมมากขึ้นหลังจากหัวหอกในตอนนั้นอย่าง รุด ฟาน นิสเตลรอย ได้รับอาการบาดเจ็บยาว สิงหาคม 2008 ประตูชัยเฉือนเอาชนะ บาเลนเซีย 1-0 ในศึกชิงถ้วย ซูเปอร์โกปา เด เอสปาญา หลังจากฉลองแชมป์ได้ไม่กี่วันเจ้าจัดจากสังหารประตูอีก 4 ลูกด้วยกันเกมเฉือนชนะ มาลาก้า 4-3 ส่งผลให้เขาก้าวขึ้นเป็นดาวซัลโวของลีกทันทีร่วมกับ ซามูเอล เอโต้ ดาวยิงบาร์เซโลน่า

          29 เมษายน 2009 ยังคงโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเดิมและสามารถทำประตูชัยให้กับทีมในนาทีสุดท้ายเกมเอาชนะ เกตาเฟ่ ไปอย่างสุดเดือด 3-2 ทำให้พวกเขาทำแต้มไล่จี้ บาร์เซโลน่า จ่าฝูงเข้าไปเรื่อยๆแต่ก็ไม่ดีพอที่จะช่วยต้นสังกัดผงาดคว้าโทรฟี่มาครอบครองได้สำเร็จ โดยจบฤดูกาลนั้นเจ้าตัวซัดไปทั้งหมด 24 เม็ดรวมทุกรายการ

ฤดูกาล 2009/2010

          กลายเป็นผู้เล่นของ "ราชันชุดขาว" ที่ลงสนามไปเพียง 27 นัดแต่สามารถซัดได้ถึง 29 ประตูด้วยกันเป็นรองเพียงแค่ ลีโอเนล เมสซี่ กับ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช เท่านั้นและสามารถกดแฮทริคแรกให้กับตัวเองได้สำเร็จ

ฤดูกาล 2011/2012

          ประเดิมกดแฮทริคแรกให้กับตัวเองในเกมบุกทุบ เอสปันญ่อล 4-0 หลังจากนั้นยังคงรักษามาตรฐานดาวยิงที่เฉียบคมเรื่อยจนสร้างสถิติยิงประตูให้กับต้นสังกัดครบ 100 ประตูเป็นที่เรียบร้อยจนพาทีมชูถ้วย ลา ลีกา ได้สำเร็จและปีนนั้นเจ้าตัวได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของสโสมสรด้วย แต่กลับมีข่าวว่าเจ้าตัวอาจถูกลอยแพปล่อยขายเพื่อที่จะหลีกทางให้กับสตาร์ดังคนอื่นๆ

          หลังจากมีข่าวอย่างหนักว่า 2 ทีมยักษ์ใหญ่จากพรีเมียร์ ลีก อย่าง อาร์เซน่อล และ ลิเวอร์พูล ประสงค์ต้องการดาวยิงคนนี้ไปเสริมคมแต่จนแล้วจนรอดกลายเป็นทีมจากแดนมักกะโรนีอย่าง นาโปลี ที่ปาดหน้าคว้า อิกัวอิน ไปล่าตาข่ายในที่สุด ด้วยค่าตัว 40 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1495 ล้านบาท)

นาโปลี (2013/14)

          10 สิงหาคม 2013 ลงประเดิมสนามครั้งแรกให้กับสโมสรในโปรแกรมการอุ่นเครื่องที่เอาชนะ เบนฟิก้า 2-1 และเจ้าตัวสามารถยิงประตูได้ด้วย หลังจากเปิดฤดูกาลมาได้อาทิตย์นึงเบิกสกอร์แรกในลีกได้สำเร็จเกมเอาชนะ คิเอโว่ 4-2 เปิดตัวได้สวยหรูอย่างยิ่งเมื่อวันที่ 18 กันยายน ยิงประตูแรกในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จเกมเฉือนชนะ ดอร์ทมุน 2-1 แต่หลังจากนั้นพวกเขาทำผลงานได้ไม่ได้ดีพอจนร่วงตกรอบแบ่งกลุ่มไป

         

          12 กุมภาพันธ์ 2014 ซัดไปสองเม็ดช่วยทีมถล่ม โรม่า 3-0 ในรอบรองชนะเลิศศึก โคปา อิตาเลีย ก่อนทะลุเข้าสู่รอบชิงพบกับ ฟิออเรนติน่า และเป็นฝ่ายเอาชนะ "ม่วงมหากาฬ" ไปได้ 3-1 คว้าโทรฟี่มาครอบครองได้สำเร็จ

ฤดูกาล 2014/15

          เริ่มต้นฤดูกาลด้วยการกดแฮทริคอีกแล้วในเกมเปิดบ้านถล่ม เวโรน่า 6-2 ก่อนทำศึกแห่งศักดิ์ศรีดวลเดือดถ้วย ซุปเปอร์โคปา อิตาเลียน่า ที่นำแชมป์ลีกแล้วแชมป์บอลถ้วยมาพบกัน และเป็น อิกัวอิน ที่สามารถทำประตูช่วยทีมตามตีเสมอจนต้องต่อเวลาและยิงจุดโทษในที่สุดก่อนจะเป็น นาโปลี เป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ เปิดหัวคว้าแชมป์แรกของฤดูกาลไปได้สำเร็จ ก่อนที่ฤดูกาลนั้นเจ้าตัวไม่สามารถพาต้นสังกัดไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้สำเร็จ

ฤดูกาล 2015-2016

          ทำประตูครบ 200 ประตูให้กับสโมสรอย่างรวดเร็วในแมตช์ที่เอาชนะ อูดิเนเซ่ ไปได้ หลังจากนั้นสัปดาห์นึงเบิกร่องทำอีกสองประตูช่วยให้ทีมขึ้นไปนำเป็นจ่าฝูงของลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปี 16 มกราคม มีส่วนช่วยทีมเอาชนะ ซัสซัวโล่ รั่งจ่าฝูงต่อไปแต่ดันเกิดข่าวร้ายเมื่อ อิกัวอิน ถูกไล่ออกจากสนามและถูกแบนถึง 4 เกมด้วยกันแต่หลังจากนั้นได้มีการยื่นอุทรธ์จนเหลือแค่ 3 นัดเท่านั้น จนทำให้ทีมเสียตำแหน่งจ่าฝูงไป

          14 พฤษภาคม หลังจากพ้นโทษแบนกลับมาก็บวกแฮทริคได้ทันทีเกมถล่ม โฟรซิโนเน่ 4-0

ยูเวนตุส (ปัจจุบัน)

          เจ้าตัวตัดสินใจช็อกโลกที่ครั้งด้วยการโยกย้ายสู่สังกัดใหม่อย่าง ยูเวนตุส คู่แข่งร่วมลีกด้วยค่าตัวมหาศาลถึง 90 ล้านยูโร (ประมาณ 3,363 ล้านบาท) หลังตกเป็นข่าวลือหนาหูนานเลยทีเดียว โดยหลังจากนั้น 3 วันเจ้าตัวได้ออกมาเผยถึงสาเหตุที่ตัวเขาย้ายทีมก็เพราะมีปัญหาส่วนตัวกับเจ้าของสโมสรทีม นาโปลี นั่นเอง

          20 สิงหาคม 2016 ทำประตูแรกให้กับทีม ยูเวนตุส ในเกมเอาชนะ ฟิออเรนติน่า 2-1 และในวันที่ 29 ตุลาคม 2016 เผชิญหน้าต้นสังกัดเก่าของตัวเองและมีชื่อเป็นคนทำประตูด้วยเกมเปิดบ้านเอาชนะ นาโปลี 2-1 แต่เจ้าตัวไม่ได้ทำการแสดงความดีใจแต่อย่างใด

ทีมชาติอาร์เจนติน่า

          แม้ อิกัวอิน จะเกิดที่ประเทศฝรั่งเศสแต่เจ้าตัวก็เลือกเล่นให้กับทีมชาติอาร์เจนติน่าตามสายเลือดของพ่อ-แม่ โดย อิกัวอิน มีชื่อติดทีมชาติชุดลุยศึกโอลิมปิก ปี 2008 และได้รับโอกาสลงสนามพบกับ กัวเตมาลา และใส่ชื่อตัวเองเป้นผู้ทำประตูได้ด้วย

ฟุตบอลโลก 2010

          ถูก ดิเอโก้ มาราโดน่า เฮดโค้ชในตอนนั้นหนีบติดทีมไปด้วยในการเล่นรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกนั่นเองและเช่นเดิมสามารถยิงประตูขึ้นนำให้กับทีมก่อนที่ผลจะจบลงเป็น อาร์เจนติน่า เอาชนะ เปรู ไป 2-1 ด้วยฟอร์มอันร้อนแรงทำให้เขามีชื่อ 23 คนสุดท้ายและกดแฮทริคใส่ เกาหลีใต้ ได้สำเร็จ ทำให้ อิกัวอิน กลายเป็นผู้เล่นประวัติศาสตร์คนที่ 3 ที่สามารถซัดแฮทริคได้ในเกมบอลโลก แต่ก็พาทีมไปถึงฝั่งฝันไม่สำเร็จเมื่อต้องแพ้ เยอรมันนี 0-4 ตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายไป

ฟุตบอลโลก 2014

          มีชื่อลุยรอบสุดท้ายเช่นเดิมและมีส่วนร่วมกับหลายประตูที่ทีมนั้นทำได้จนสุดท้ายพาทีมชาติตัวเองผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำหรับ แต่ก็เป็นฝ่ายอกหักเช่นเดิมเมื่อไปพบกับ เยอรมัน เจ้าเก่าที่เคยปราบพวกเขาตกรอบมาแล้ว โดยเกมนั้น อิกัวอิน มีโอกาสทองที่จะใส่สกอร์ให้กับทีมก็พลาดไปในที่สุดจนท้ายที่สุดต้องทำการต่อเวลาและเป็น เยอรมัน เอาชนะไปได้ 1-0

โคปาอเมริกา 2015

          เนื่องจากขุมกำลังที่ครบครันของทีม "ฟ้า-ขาว" ทั้ง ลีโอเนล เมสซี่, เซร์กิโอ อกูเอโร่ และ อังเคล ดิมาเรีย ทำให้โอกาสของ อิกัวอิน น้อยมากโดยเขาได้ออกสตาร์ทในนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มแทนและสามารถทำประตูได้ด้วยส่งผลให้ อาร์เจนติน่า เข้ารอบสุดท้ายในที่สุด ก่อนจะมายิงได้อีกครั้งในรอบรองชนะเลิศที่ถล่มเอาชนะ ปารากวัย 6-1 หลังจากลงสนามมาได้แค่ 2 นาทีเท่านั้น นัดชิงชนะเลิศในวันที่ 4 กรกฏาคม เป็นหนึ่งในสองคนที่พลาดการยิงจุดโทษไม่สามารถพาทีมคว้าถ้วยแชมป์ได้สำเร็จโดยแพ้ให้กับเจ้าภาพอย่าง ชิลี นั่นเอง