ประวัติ ไดเออร์ วีรบุรุษผู้มาจากส้วม

ไดเออร์วีรบุรุษผู้มาจากส้วม

          กลายเป็นเรื่องตลกที่เกือบจะไม่ตลกเสียแล้ว หลัง อีริก ไดเออร์ เซ็นเตอร์แบ็คจำเป็นของทีม สเปอร์ส วิ่งหายออกจากสนามในช่วงกลางครึ่งหลังศึก ลีก คัพ พบกับ เชลซี จนกระทั่งทีมกลับมาตีเสมอ 1-1 และดวลจุดโทษเอาชนะได้ 5-4

          เรื่องราวชักจะใหญ่โตเมื่อกุนซือ โชเซ่ มูรินโญ่ ออกโรงวิ่งไปตาม ไดเออร์ ด้วยตัวเอง เพื่อให้เขากลับมาลงสนามไวไว เพราะสกอร์กำลังตามหลังอยู่ 0-1 และตัวผู้เล่นในสนามเหลือเพียงแค่ 10 คน จนกระทั่งท้ายที่สุด ไดเออร์ ได้รับรางวัล แมน อ็อฟ เดอะ แมตช์ ก่อนโพสต์อินสตาแกรมติดตลกกับส้วมดังกล่าวว่า "แมน อ็อฟ เดอะ แมตช์ ตัวจริง" พร้อมให้สัมภาษณ์ว่านี่คือครั้งแรกในชีวิตที่วิ่งออกไปเข้าส้วมระหว่างเกมการแข่งขัน

 

          อีริก ไดเออร์ หรือชื่อเต็ม อีริก เจเรมี่ เอ็ดการ์ ไดเออร์ เกิดวันที่ 15 มกราคม 1994 ในเมือง เชลต์แน่ม ซึ่งเขาเป็นหนึ่งในขุมกำลังตัวรับสารพัดประโยชน์ของทัพสิงโตคำรามยุคนี้

          ไดเออร์ ย้ายไปอยู่ที่ โปรตุเกส ตอนอายุเพียง 7 ขวบกับญาติๆ ในเมือง อัลการ์ฟ และได้ย้ายไปอาศัยอยู่ที่ ลิสบอน เมื่อปี 2004 จนกระทั่งปี 2010 ครอบครัวของเขาก็ได้ย้ายกลับมาที่ อังกฤษ อีกครั้ง และเจ้าตัวจึงย้ายตามกลับมาอยู่กับครอบครัว ซึ่งได้เข้าร่วมกับสโมสร เอฟเวอร์ตัน ด้วยสัญญายืมตัวระดับเยาวชนในปี 2011-2012

          ไดเออร์ ก้าวขึ้นมาอยู่ทีมชุดใหญ่ของ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ได้ในปี 2012 และใช้เวลาร่วมๆ 2 ฤดูกาลเพื่อพิสูจน์ตัวเอง หลังลงสนามไปทั้งสิ้น 27 นัดลีกกับอีก 1 ประตู

          และแล้วก็เป็นทางด้านของ สเปอร์ส ที่แสดงความสนใจ ก่อนจะดึงตัวเขาเข้ามาร่วมทีมในปี 2014 ด้วยสัญญาระยะยาว 5 ปี มูลค่า 4 ล้านปอนด์ ไดเออร์ ยึดตัวหลักของทีมชุดใหญ่ทันทีที่เข้ามา และลงสนามในซีซั่นแรกถึง 28 นัดลีก ทำประตูได้ 2 ลูก

          ตลอด 6 ปีเต็ม ตั้งแต่ 2014-2020 เขากลายเป็นหนึ่งในตัวหลักที่ไม่ว่า "ไก่เดือยทอง" จะเปลี่ยนกุนซือกี่คน ก็ยังเลือกใช้เขาเป็นหนึ่งใน 11 ตัวจริงอยู่เสมอ ถ้าไม่เจ็บไม่แบนหรือไม่ฟิต รับรองว่ามีชื่อของเขาอย่างแน่นอน

          ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2020 ไดเออร์ ได้รับการต่อสัญญาเพิ่มเพื่ออยู่โยงกับสโมสรไปอีก 4 ปี จนถึง 2024

          สำหรับเส้นทางทีมชาติของเขากับทัพ "สิงโตคำราม" ไดเออร์ ติดเยาวชนทุกชุดตั้งแต่ ยู-18, ยู-19, ยู-20 และยู-21 จนก้าวขึ้นสู่ชุดใหญ่ในปี 2015 และยึดตำแหน่งกลางรับเจ้าประจำไปยาวๆ