ประวัติ เชส ฟาเบรกาส

| 01/01/1970 07:00 น. | 1815 Views

Cesc Fabregas, Arsenal

     90mins.com ทำโพลสำรวจความคิดเห็นจากแฟนบอลอาร์เซนอลในหัวข้อการเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดของสโมสร ผลปรากฎว่า เชสก์ ฟาเบรกาส ได้รับคะแนนโหวตเข้ามาเป็นอันดับหนึ่ง

 

     กองกลางทีมชาติสเปนย้ายร่วมทัพไอ้ปืนใหญ่แบบไม่มีค่าตัวด้วยวัยเพียง 16 ปี เมื่อปี 2003 เขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมและแจ้งเกิดกับทีมในเวลาอันรวดเร็ว ก่อนต่อมาได้รับความไว้วางใจแต่งตั้งเป็นกัปตันทีม โดยเขาลงสนามช่วยทีมไปทั้งสิ้น 303 นัด ตลอดระยะเวลา 8 ฤดูกาลที่ค้าแข้งอยู่

 

     ล่าสุดเด็กปั้นบาร์เซโลนาได้รับการโหวตให้เป็นดีลเจ๋งสุดตลอดกาลของ"เดอะ กันเนอร์ส" แม้เจ้าตัวจะหักหาญน้ำใจแฟนบอลด้วยการย้ายไปเล่นกับทีมคู่ปรับอย่างเชลซีเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาก็ตาม

 

     ทั้งนี้ ฟาเบรกาสได้รับเสียงโหวตสูงถึง 56% จากการสำรวจความคิดเห็นสาวกกูนเนอร์สทั้งหมด 10,000 คน เหนือกว่าผู้เล่นระดับตำนานอย่าง เธียร์รี อองรี และ เดนนิส เบิร์กแคมป์ เสียอีก

 

 

เชส ฟราเบรกัส

ถ้าจะพูดถึงทีมที่เด่นที่สุดในทัวร์นาเมนต์ ยูโร 2008 ก็ย่อมหนีไม่พ้นทีมกระทิงดุสเปน ที่เล่นได้อย่างสวยงามและเร้าใจตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ โดยเฉพาะแผงมิดฟิลด์ที่เรียกได้ว่าเป็นกลจักรสำคัญของทีมกระทิงดุเลยก็ว่าได้ โดยในวันนี้ขอยกหนึ่งในกองกลางที่เล่นได้เด่นที่สุดของทีมชาติสเปน มาแนะนำแล้วกันครับ เขาคนนั้นก็คือ เชส ฟาเบรกาส กองกลางดาวรุ่งจากสโมสรอาร์เซนอล

เชสนั้นเดิมทีเป็นเด็กฝึกของสโมสรบาร์เซโลน่า ซึ่งคาดว่าถึงตอนนี้ทีมเจ้าบุญทุ่มคงต้องมานั่งกุมขมับเป็นแน่แท้ว่าปล่อยเพชรน้ำงามของทีมออกมาได้อย่างไร โดยฟาเบรกาสออกจากบาร์เซโลน่า ตอนที่มีอายุแค่ 15 ปีเท่านั้น

เชส ใช้เวลาเพียงแค่ปีเดียวก็ก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของอาร์เซนอลได้สำเร็จ โดยเกมประเดิมสนามของเขาเป็นเกมที่อาร์เซนอล พบกับ ร็อทเทอร์แฮม ยูไนเต็ด ในปี 2003 ส่งผลให้เขาเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ได้ลงเล่นในสีเสื้อของอาร์เซนอล ด้วยอายุ 16 ปี 177 วัน ก่อนที่จะกลายเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ประวัติศาสตร์ด้วยวัย 17 ปี ในเกมที่เอาชนะวูลฟ์ 5-1 ในเกมคาร์ลิง คัพ

แม้ว่าอาร์เซนอลจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก ด้วยการไม่แพ้ใครเลยตลอดฤดูกาล แต่ว่า ฟาเบรกาส ไม่ได้เหรียญรางวัลในปีดังกล่าวแต่อย่างใดเนื่องจากว่า เขาไม่ได้ลงเล่นในเกมลีกเลยแม้แต่เกมเดียว

ในปีถัดมาฟาเบรกาส ก้าวขึ้นมาเป็นตัวจริงให้กับอาร์เซนอลอย่างเต็มตัว เนื่องจากการบาดเจ็บชอง ปาทริค วิเอร่า กัปตันทีมปืนโต โดยเกมที่แจ้งเกิดเชส ฟาเบรกาส ได้อย่างเต็มตัว ก็คือเกมที่ อาร์เซนอล เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-1 ในศึกชิงโล่ห์ การกุศล คอมมูนิตี้ ชิลด์ ปี 2004 และนับจากนั้นเขาก็กลายเป็นตัวหลักของอาร์เซนอลด้วยวัยเพียงแค่ 17 ปีเท่านั้น

และจากการอำลาถิ่น เอมิเรตส์ สเตเดียม ของปาทริค วิเอร่าในปี 2005 กัปตันทีม หลายคนคิดว่าทีมอาร์เซนอลคงจะมีผลงานที่ย่ำแย่ในฤดูกาลนั้นอย่างแน่นอน แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ เมื่ออาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือของทีม ตัดสินใจให้ฟาเบรกาส เป็นจอมทัพของทีมปืนใหญ่อย่างเต็มตัว จนผลงานของทีมติดลมบน ฝ่าด่านทั้งเรอัล มาดริด และ ยูเวนตุส เข้าชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ก่อนที่จะแพ้บาร์เซโลน่า ไปอย่างน่าเสียดาย 2-1 ในนัดชิงชนะเลิศ

จากผลงานที่ผ่านมาก็ทำให้ฟาเบรกาส ก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะระดับหัวแถวของยุโรป และได้รับความสนใจจากสโมสรยักษ์ใหญ่ทั้งหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรอัล มาดริด ที่พร้อมจะทุ่มเงินมหาศาลคว้าตัวฟาเบรกาส กลับไปเล่นในประเทศสเปนอีกครั้ง

แต่ฟาเบรกาสก็ตัดสินใจปัดข้อเสนอยั่วน้ำลายของทีมบ้านเกิดด้วยการต่อสัญญากับอาร์เซนอลออกไป แม้ว่าค่าเหนื่อยอาจจะได้ไม่เท่า แต่ก็ได้มาซึ่งความสบายใจ เพราะว่าเขาต้องการเล่นให้กับอาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือผู้ให้โอกาสเขามากกว่า

ในฤดูกาล 2007/2008 ที่ผ่านมา ฟาเบรกาส เกือบที่จะพาอาร์เซนอล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี แต่ว่ากลับมาตกม้าตายในช่วงท้ายฤดูกาล จนโดนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แซงคว้าแชมป์ไปอย่างน่าเจ็บปวด

ส่วนผลงานในระดับชาติ ฟาเบรกาส นั้นเริ่มต้นโด่งดังมาตั้งแต่เล่นในระดับเยาวชนแล้ว โดยเล่นให้สเปนชุด ยู 17 คว้าตำแหน่งรองแชมป์ โลกที่ประเทศฟินแลนด์ โดยในครั้งนั้นฟาเบรกาส เป็นดาวซัลโว ประจำทัวร์นาเมนต์ด้วยจำนวน 5 ประตู และได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำรายการอีกด้วย

ส่วนผลงานในทีมชุดใหญ่ของสเปน เขาจะหนักไปทางตัวสำรองซะมากกว่า แต่ในยูโร 2008 ครั้งนี้เขากลายเป็นตัวทีเด็ดของหลุยส์ อราโกเนส กุนซือทีมชาติสเปน โดยลงมาพลิกเกมได้หลาย ๆ ครั้ง โดยเฉพาะในเกมที่สเปนเจอกับอิตาลี และ รัสเซีย ในรอบน็อกเอาต์ ฟาเบรกาสถูกเลือกให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมทั้งสองเกม ที่เลือกโดยสื่อมาร์ก้า ที่เทคะแนนให้เชส อย่างท่วมท้น ในฐานะกลจักรสำคัญที่พาทีมกระทิงดุมีลุ้นแชมป์รายการระดับเมเจอร์เป็นครั้งแรกในรอบ 44 ปี

ในศึกทัวร์นาเม้นต์ ยูโร 2008 เชสลงสนามเกมส์แรกในฐานะตัวสำรอง เขาถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทนตอเรส และซัดประตูทิ้งท้ายในช่วงทดเวลา ช่วยให้สเปนฝังรัสเซีย 4-1

เข้ามาถึงรอบน็อคเอาท์ สเปนเสมอในเวลากับทีม อิตาลี 0-0 และในการดวลจุดโทษกันนั้น ก็เป็นเชส ที่ยิงทิ้งท้ายให้ทีมดวลจุดโทษชนะไป 4-3 พาทีมเข้ารอบจนดระทั่งได้แชมป์มาในท้ายที่สุด

ADS