ประวัติ ฟรานซ์ เบ็คเค่นเบาเออร์

| 01/01/1970 07:00 น. | 1770 Views

ฟรานซ์ เบ็คเค่นเบาเออร์ "The master of the sweeper"

ยุคปัจจุบันเรามักจะได้ยินบรรดาเซียนลูกหนังหรือบอสๆทั้งหลายบ่นกันระงมว่านักเตะประเภท “สวีปเปอร์” หรือ “ลิเบอร์โร่” ขนานแท้นั้นหาใช้ยากยิ่ง หรือแทบจะไม่มีหลงเหลือให้เห็นแล้วจริงๆ

“ไกเซอร์ฟรานซ์” ฟรานซ์ เบ็คเค่นเบาเออร์ คือสวีปเปอร์ ขนานแท้และดั้งเดิมที่คิดจะปั้นใครมาเรียนแบบสวมเกือกตามแบบก็คงจะไม่ได้แล้ว คุณสมบัติข้อนี้ทำให้ ไกเซอร์ฟรานซ์ ก้าวขึ้นไปเป็นตำนานของตำแหน่งนี้อย่างไม่มีข้อกังขา

ควมสามารถครบเครื่องเล่นได้อิศระตามสไตล์ของ ริเบอร์โร่ ที่แกร่งทั้งรับ และเฉียบคมสุดๆยามเปิดเกมรุกทำให้คู่แข่งในยุคนั้นรวมถึงผู้จัดการทีมฝ่ายตรงข้ามมักจะหวั่นๆและสั่งจับตายนักเตะที่ไม่ใช่กองหน้ารายนี้อย่างเด็ดขาด

ความมั่นใจและพริ้วไหวในเกมยามครองบอลของ ฟรานซ์ ไม่เป็นรองนักเตะรายใดมีเทคนิคที่เยี่ยมยอดบวกกับคุณสมบัติผู้นำที่มีมาแต่ใหนแต่ไรทำให้ “เดอะไกเซอร์” เป็นซูเปอร์สตาร์นับตั้งแต่ยุครุ่งเรืองของตัวเองจวบจนทุกวันนี้

ฟรานซ์ รับใช้ทีมชาติเยอรมันตะวันตกมานานกว่า 10 ปีเป็นกัปตันทีมมากกว่า 50 เกม ได้รับการโวตให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรปถึงสองครั้งสองคราว

เส้นทางฟุตบอลโลกของ ฟรานซ์ เริ่มขึ้นเมื่อปี 1966 เมื่อเยอรมันตะวันตกพ่ายให้ อังกฤษ ที่เวมบลีย์ นัดชิงชนะเลิศ ซึ่งเกมนั้น ฟรานซ์ ถูกจับยืนในตำแหน่งที่ไม่ถนัดกับมิดฟิลด์ ที่คอยจับตาย บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ทัวร์นาเมนต์นั้น ฟรานซ์ ยิงไป 4 ประตู ซึ่งทำให้ชาวโลกเริ่มหันหน้ามามองเด็กหนุ่มรายนี้

ในฟุตบอลโลกครั้งต่อมาปี 1970 ที่เม็กซิโก เป็นทัวร์นาเมนต์ที่ควรค่าแก่การจดจำมากที่สุดของ เบ็คเค่นเบาเออร์ หลังจากเจ้าตัวเข็นสังขารอาการเจ็บหัวใหล่แตะเกมในรอบตัดเชือกที่พ่ายอิตาลี 4-3 ซึ่งหลังจากโดนกระแทกอย่างแรง เจ้าตัวปฏิเสธที่จะรับการเปลี่ยนตัวออกไปพัก วิ่งสู้ฟัดจนครบ 120 นาที ก่อนที่ทีมจะพ่ายในแมตช์นั้นอย่างเจ็บปวด แต่ก็มาได้อันดับ 3 ปลอบใจหลังเอาชนะอุรุกวัย ได้สำเร็จในการชิงอันดับ 3

ครั้งที่ 3 และเป็นครั้งสุดท้ายของ เดอะ ไกเซอร์ ที่เยอรมันเป็นเจ้าภาพ ในปี 1974 เยอรมันตะวันตก และ ฟรานซ์ พร้อมแล้วที่จะก้าวขึ้นสู้จุดสูงสุดด้วยกันทั้งเวลา และสถานที่เหมาะเจาะทุกอย่าง

และเยอรมันก็ทำสำเร็จเมื่อเอาชนะ ฮอลแลนด์ แม้ทัวร์นาเมนต์นั้น โยฮัน ครอยฟ์ ของทีมสีส้ม ขโมยซีนโดดเด่นอยู่คนเดียว แต่ชัยชนะ ณ กรุงมิวนิค ก็นับเป็นไฮไลต์ของชีวิต และมีความหมายต่อ เบ็คเค่นเบาเออร์ เอามากๆ ในฐานะนักเตะ 1 ในสองคนของประวัติศาตร์ฟุตบอลโลกที่ได้เหรียญรางวัลเวิรล์ด คัพ ครบ 3 เหรียญ คือ ทอง,เงิน,ทองแดง (อีกคนเป็น โวล์ฟกัง โอเวอรัธ)

ชีวิตในยามเย็นของ ฟรานซ์ หลังอำลาทีมชาติ ไปอยู่กับ นิวยอร์ค คอสโม ที่อเมริกาเหนือ ในโปรลีก กับเปเล่ และซูเปอร์สตาร์ของโลกคนอื่นๆ ก่อนจะรีไทร์อย่างเป็นทางการ และกลับสู่บุนเดสลีกา เล่นให้ ฮัมบูร์ก คว้าแชมป์ ลีก เป็นครั้งสุดท้ายในปี 1982

ปี 1984 ฟรานซ์ เข้ารับตำแหน่งโค้ชทีมชาติเยอรมัน และพาทีมผ่านเข้าชิงชนะเลิศในปี 16986 ตามด้วยแชมป์ในการคุมทีมแมตช์สุดท้ายปี 1990 นัดเจอกับอาร์เจนตินา

“ไกเซอร์ฟรานซ์” กลายเป็นบุรุษคนเดียวที่คว้าแชมป์โลกทั้งฐานะโค้ช และกัปตันทีม

หลังจบทัวร์นาเม้นต์ ฟุตบอลโลก 1990 ฟรานซ์ ได้ย้ายมาคุมทีมมาร์กเซย์ เพียงฤดูกาลเดียว และคว้าแชมป์ลีกได้เสียด้วย และบริหารทีม “เสือใต้” จนกลายเป็นทีมชั้นนำของโลก ในปัจจุบัน

ในปี 1998 เบ็คเค่นเบาเออร์ ยังได้รับตำแหน่งรองประธานสหพันธ์ฟุตบอลเยอรมัน ก่อนจะมารับหน้าที่ประธานจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2006 จนประสบความสำเร็จอีกครั้ง เรียกว่าหยิบจับอะไรก็ทำได้ดีไปหมดจริงๆ สำหรับ “แดร์ ไกเซอร์” ฟร้านซ์ เบ็คเค่นเบาเออร์

ในปี 1994 ไกเซอร์หวนคืนวงการฟุตบอลอีกครั้ง โดยกลับคืนรังเก่าของเขา บาเยิร์น มิวนิค โดยทำหน้าที่เป็นกุนซือสโมสร ซึ่งสามารถพาทีมคว้าแชมป์บุนเดสลีก้าในปี 1994 และยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก ในปี 1996 ได้ด้วย

ADS